SELECTIVE BUY ยังทำงานได้ดี
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยประเมินจากมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง สะท้อนให้เห็นภาพความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งหากมองไปที่สาเหตุส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นความกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้าสู่ช่วงรอยต่อสำคัญช่วงกลางเดือน ส.ค.67 อย่างไรก็ตามในเชิงของการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน เรามองเห็นหุ้นหลายบริษัทที่มีประเด็นบวกขับเคลื่อน และ ราคายังต่ำกว่า FAIR VALUE มาก อย่างเช่นในกลุ่มค้าปลีก เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จาก DIGITAL WALLET แต่พบว่ามีหุ้นบางบริษัทยังLAGGARD อยู่มาก เช่น BJC อีกกรณีหนึ่งคือการเข้าสู่ช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทำให้หุ้นอย่าง PLANB ดูเด่นขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิในการจัดบริหารจัดการผลประโยชน์ทางการตลาดอันเนื่องมาจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 ในประเทศไทย เป็นต้นมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง สะท้อนความไม่เชื่อมั่นและทำให้ SET INDEXปรับตัวขึ้นได้ยาก วันนี้ประเมินกรอบ 1285 – 1300 จุด หุ้น TOP PICKเลือก BJC, PLANB และ SIRI

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามมีอะไรบ้าง ... มาดูกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนน้อยลงจากวันก่อน ทั้ง S&P500 และ NASDAQ ขณะที่ดัชนีDOWJONES ปรับตัวขึ้น 0.2% หลังตัวเลข GDP 2Q67 ออกมา +2.8%QOQ สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ +2.1%QOQ และสูงกว่างวด 1Q67 ที่ระดับ +1.4%QOQ โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนโดยวันนี้นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล(PCE) ของสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED)ในอนาคต โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่FED ให้ความสำคัญเฉกเช่นเดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)ซึ่งตลาดคาดดัชนี PCE ทั่วไป(HEADLINE PCE) +2.4%YOY ในเดือนมิ.ย.67 ลดลงจากระดับ +2.6% ในเดือนพ.ค.67

ดังนั้น ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแรงของสหรัฐฯ ทำให้ลดความกังวลการเกิดRECESSION ได้แบบ HARD LANDING ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของ FED
ข้อมูลล่าสุดจาก FED WATCH TOOL ให้น้ำหนัก FED ปรับคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่5.50% ในการประชุมวันที่ 31 ก.ค.67 แต่ระยะถัดไปเห็นถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่รอบการประชุมเดือน ก.ย.67 ที่ตลาดคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ย 25BPS. ด้วยโอกาส 89.6% และให้น้ำหนักมากกว่า 50% ที่ FED จะลดดอกเบี้ยในเดือนพ.ย.67 และธ.ค.67จนดอกเบี้ย ณ สิ้นปีอยู่ที่4.75% ดังรูปด้านล่างซึ่งการที่ FED ทยอยปรับลดดอกเบี้ยลง แต่ BOT ยังคงดอกเบี้ยอยู่ระดับเดิมในช่วงเวลาที่เหลือของปี ส่งผลให้ส่วนต่าง หรือ GAP ระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทยลดลง หนุนค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ลุ้น FLOW ไหลกลับเข้าไทยมากขึ้นตามกลไล

ขณะที่ประเทศไทยวันนี้ 10 โมงเช้า รอติดตามตัวเลขส่งออก-นำเข้า ประจำเดือน มิ.ย.67 ตลาดคาด +2.55%YOY ซึ่งหากตัวเลขออกมาตามตลาดคาดจริง หุ้นกลุ่มที่จะได้กระแสในวันนี้คงเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าเน้นส่งออกทั้งอาหาร-ชิ้นส่วนฯ อาทิ TU GFPTDELTA HANA เป็นต้น

สรุป เศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแรง ลดความกังวลการเกิด RECESSION แบบ HARDLANDING หนุน FED พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยง่ายขึ้น โดยวันนี้ติดตามตัวเลข PCEเดือน มิ.ย.67 ตลาดคาดลดลงจากเดือนก่อน อยู่ที่ +2.4%YOYส่วนไทยเช้านี้ 10 โมงรอติดตามตัวเลขส่งออก ตลาดคาด +2.55%YOY ดังนั้นเน้น
หุ้นกลุ่มสินค้าเน้นส่งออกทั้งอาหาร-ชิ้นส่วนฯ อาทิ TU GFPT DELTA HANA เป็นต้นเช็คสภาพเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ยังดูดี ?

• สหรัฐฯ : เศรษฐกิจยังดูแข็งแรง และการใช้จ่ายเติบโต หนุน GDP GROWTH2Q67 ขยายตัว +3.1%YOY ส่งผลให้ลดความกังวลเศรษฐกิจRECESSION แบบ HARD LANDING ขณะที่ BLOOMBERG ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจใน 3Q67 และ 4Q67 คาดว่าจะเติบโต 2.0%YOY และ1.6%YOY ซึ่งอาจขยายตัวได้น้อยลงจากตลาดแรงงานอ่อนแอ บวกกับเงินเฟ้อมีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอตัว แต่ในอีกมุมหนึ่งมองว่าเป็นปัจจัยหนุนให้FEDพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ราว 1-2 ครั้ง

• จีน : เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าโดย GDP GROWTH 2Q67 ขยายตัว +4.7%YOYซึ่งเติบโตน้อยกว่า 1Q67 +5.3%YOY ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นรัฐบาลจีนเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาผ่านนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อหนุนการบริโภคและส่งเสริมการลงทุน

• ไทย : คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่กำลังจะดำเนินการ อาทิการไขปัญหาหนี้ครัวเรือน, การช่วยเหลือ SME, การกระตุ้นบริโภคผ่านโครการ DIGITAL WALLET เป็นต้น เชื่อว่าจะช่วยผลักเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดย BLOOMBERG คาดการณ์ GDPGROWTH ของไทยใน 2Q67 +2.1%YOY, 3Q67 +2.7%YOY, 4Q67+4.0%YOY นอจากนี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลงแบบHARD LANDING น่าจะเข้ามามีแรงกดดันที่น้อยลง

สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง และเร่งตัวขึ้นในช่วง 2H67 นำหน้ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วช่วงนี้หุ้นขนาดเล็กผันผวนสูง เอนเอียงมาซบหุ้นขนาดใหญ่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (26 มิ.ย. –25 ก.ค. 67) หุ้นขนาดเล็กผันผวนมาก สังเกตได้จาก ดัชนี SSET ปรับตัวลง -9.12% และ MAI -9.3% ต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ อย่างSET50 ที่ทรงๆ ตัว -0.69%

แม้ในประเทศมีประเด็นกดดันหลากหลาย ทั้งความไม่แน่นอนการเมือง ความกังวลการ ROLLOVER หุ้นกู้แต่เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน หุ้นใหญ่มีเสถียรภาพมากกว่าหุ้นเล็กในช่วงนี้ เพราะหุ้นขนาดใหญ่ยังมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลผ่านNVDR เข้ามาหนุนในเดือนนี้กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท หล่อเลี้ยงหุ้นขนาดใหญ่ให้ทรงๆตัวอยู่ได้

ส่วนหุ้นขนาดเล็ก ถูกกดดันจากความกังวลประเด็น FORCE SELL, การหลีกเลี่ยงหุ้น P/E สูงในช่วงนี้รวมถึงมาตการรัดเข็มขัดควบคุมการปล่อย MARGIN เข้มขึ้นกดดันให้หุ้นขนาดเล็กผันผวนในช่วงนี้ เพราะมูลค่าการใช้MARGIN ในการซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดเล็กจากดัชนี MAI ถึง 5.1% ใกล้เคียงกับหุ้นขนาดเล็กจากดัชนี SSET ที่ 5.2% ต่างกับหุ้นขนาดใหญ่จาก SET50 มีสัดส่วนการใช้MARGIN เพียง 0.7% เท่านั้น (ถ้าใช้ค่าเฉลี่ย %MARGIN เป็นเส้นตรงเท่ากับ 1.23%แสดงว่าหุ้นขนาดเล็กใน SET50 เองส่วนใหญ่ก็ใช้ MARGIN ในสัดส่วนที่มากกว่าหุ้นตัวใหญ่) ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบจากการปรับพอร์ตในบัญชี MARGINจำกัด

สรุป เป้าหมายการลงทุนในช่วงนี้ น่าจะเอนเอียงไปที่หุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งมีเสถียรภาพและผันผวนน้อยกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งจากสัดส่วนการถือครองผ่าน MARGIN ที่น้อยกว่าและยังมี FUND FLOW ผ่าน NVDR เข้ามาหล่อเลี้ยงต่อเนื่อง ส่วนหุ้นแนะนำ คือ หุ้นขนาดใหญ่น่าลงทุน CPALL, BJC, SCC, ADVANC, KBANK, IVL, PTTGC,PTTEP, GULF, GPSC, BEM, PLANB

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์