Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

529

 

"Value Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ตั้งฐานได้" ต้าน 1298/1303 จุด รับ 1286/1281 จุด ดัชนี Dow Jones ดีดตัว +0.2% หลักๆ ยังมีแรงขายหุ้น Technology และมีการ Rotation ไป Value Stocks และ หุ้นขนาดกลาง-เล็ก นำโดยหุ้นพลังงาน ที่ราคาน้ำมันเริ่มสร้างฐาน หลังมีการรายงาน GDP 2Q24 สหรัฐ (ครั้งแรก) ออกมา +2.8%q-q ดีกว่าตลาดคาด ขณะ Leading Indicators เป็นภาพ Soft Landing สะท้อนจากภาคแรงงาน โดยเฉพาะยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ค่อยๆแกว่งขึ้นตั้งแต่ พ.ค. 24 ขณะที่เงินเฟ้อ PCE งวด 2Q24 ลดแบบมีนัยฯเหลือ 2.6%y-y จาก prev. 3.4%y-y Implied ว่า PCE เดือน มิ.ย. ที่จะรายงานวันนี้น่าจะอยู่ 2.4-2.5% บ่งชี้ FED คุมเงินเฟ้อได้แล้ว และน่าจะปรับมุมมองการประชุมปลายเดือนนี้เป็น Dovish หนุนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และเปิดโอกาสหุ้น Value มากขึ้น น่าจะบวกต่อ SET ซึ่งมีน้ำหนักหุ้น Value สูงกว่า Growth SET จะตั้งฐานได้ ขณะที่วันนี้ติดตามยอดส่งออก มิ.ย. หุ้นนำ คือ หุ้น Value (พลังงานต้นน้ำ, ธนาคาร) กลุ่มคาดกำไร 2Q24 ดี (ค้าปลีก สื่อสาร อาหาร ท่องเที่ยว) หุ้นนิคม(ยอดขอ BOI งวด 1H24 +35%y-y) วันนี้แนะ GULF, KTB, MINT เด่น

 

 

Daily outlook: "เริ่มตั้งฐานได้" ต้าน 1298/1303 จุด รับ 1286/1281 จุด

What happened around the world ?

•(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ Dow Jones +0.2%d-d (หนุนจาก IBM +4.3% ), S&P500 -0.5%, Nasdaq -0.93% โดยดัชนี S&P Sector ปรับขึ้นมีเพียง Energy, Infustrial, Financials Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ ICT, IT,Utilities ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น กลุ่มชิปยังปรับลงต่อ AMD-4.4%, NVDIA -1.7% (เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย) Microsoft -2.45%, Alphabet -3%

•(*) US Earning : บริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 รายงานงบ 2Q24 ออกมารวม 198 บริษัทจาก 500 บริษัทกำไรรวมดีกว่าคาด 4.3% ลดลงจากกลางสัปดาห์ที่ 4.8% และยอดขายรวมดีกว่าคาด 1% ดีขึ้นจากกลางสัปดาห์ที่ 0.4% ส่วนอัตราการเติบโตกำไรและยอดขาย อยู่ที่ 6.46% (VS. กลางสัปดาห์ 7.9%) และ 4.17% (VS. กลางสัปดาห์ 3.55%) ตามลำดับ

•(*/+) US Econ : GDP สหรัฐ 2Q67(เบื้องต้น) +2.8% q-q ดีกว่าคาดที่ +2.0%q-q ขยายตัวเกือบทุกองค์ประกอบแรงหนุนสำคัญมาจาก 1.)การบริโภค(C) ในฝั่งของ Services คือหมวด Healthcare ที่ขยายตัว และจากการท่องเที่ยวที่ 2.)การลงทุนกลับมาขยายตัวและมีผล Contribute to GDP มากที่สุดในรอบ 3 ไตรมาส 3.) การใช้จ่ายภาครัฐ ขยายตัวจากการลงทุนที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศของรัฐบาลกลาง 2) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนไม่รวมกลุ่มขนส่ง +0.5%m-m ดีกว่าคาดที่ +0.2%m-m Core Capital Goods Orders +1%m-m มากที่สุดในรอบ 17 เดือน สะท้อนภาพ การลงทุนขยายตัว 3) ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ +2.35 แสนราย ดีกว่าคาดที่ 2.37 แสนรายตัวเลขแรงงานที่ออกมายังไม่อยู่ระดับที่น่างกัวล สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)

•(*/+)PBOC : ธนาคารกลางจีนปรับลดดอกเบี้ย MLF อายุ 1 ปี ลง 20bps. เหลือ 2.3% ถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง จากต้นสัปดาห์ที่ปรับลดดอกเบี้ย LPR เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และฟื้นฟูภาคอสังหาฯ KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงจีน อาทิ DOHOME, STA, PTTGC, IVL, AAV

•(*) US Election : สำนักข่าว Fox News แถลงกำหนดการ Debate ระหว่าง Kamala Hariss VS. Donald Trump วันที่ 17 ก.ย.24 เบื้องต้น Kamala จะต้องชนะการเลือกตัวแทนของพรรคเดโมแครตในวันที่ 19 ส.ค. ซึ่งความเป็นไปได้สูงที่ได้เป็น KSS แนะนำให้ติดตามนบายหาเสียงเพิ่มเติม โดยปัจจุบัน เน้น 1.)เพิ่มภาษี Corporate tax มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นสหรัฐ แต่จะบวกต่อตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย 2.)หนุนพลังงานสะอาด มองบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF ในท้ายที่สุดไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี KSS ประเมินการกีดกันการค้าจะยังดำเนินต่อ เป็นบวกต่อกระแสการย้ายฐานการผลิต มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เน้น WHA

•(*) Chip stocks : SK Hynix ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ของโลกเผยกำไร 2Q24 สูงสุดในรอบ 6 ปี 5.47 ล้านล้านวอนสูงสุดตั้งแต่ 2Q2018 มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย อาทิ HANA, KCE

• (*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 26 ก.ค. รายได้และค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน คาด +0.4%m-m, +0.2%m-m vs prev. +0.5%m-m, +0.2%m-m และ PCE เดือน มิ.ย.24

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นรับ GDP สหรัฐแกร่ง อายุ 2 ปี พลิกเร่งขึ้น +4 bps ที่ 4.41% และอายุ 10 ปี แกว่งตัวลง +3 bps ปิด 4.24% ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแกว่งตัวในทางแข็งค่า 104.1 จุด

•(*/+) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นต่อเป็นวันที่ 2 อิง Brent +0.81%d-d ปิดที่ US$ 82.37/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.89%d-d ปิดที่ US$ 78.28/barrel รับข่าวบวก GDP สหรัฐดี มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นน้ำมัน อาทิ PTT, PTTEP

•(*/+) Sugar : น้ำตาล +4.19%d-d ปิดที่ 18.66US$/lb หนุนจากผลผลิตน้ำตาลของบราซิลที่ลดลงในช่วงครึ่งแรกของเดือนก.าค.มองบวกต้อหุ้นกลุ่มน้ำตาล อาทิ KTIS ,KSL, KBS แนะนำเพียง Trading แต่ในทางตรงข้ามมองลบต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มระยะสั้น

•(-) World Container Index(WCI) : WCI พลิกปรับลงครั้งแรกหลังจากก่อนหน้า ปรับขึ้น 13 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด -2%w-w ) อยู่ที่ 5,806 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเคร่ยดในะตวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO , SONIC LEO และ WICE ดังนั้นยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน.

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: ตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวลดลงสอดคล้องตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาปิด -6.5 จุด หรือ -0.5% ปิดที่ 1291 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.95 หมื่นล้านบาท กลุ่มหนุนดัชนีหลักๆ คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, GLOBAL, HMPRO, DOHOME) ตอบรับนโยบาย Digital Wallet ที่มีความคืบหน้ากรอบเวลาลงทะเบียนและรายละเอียดที่มีข้อสงสัยบางส่วน ผสานภาพบว GLOBAL รายงานกำไร 2Q24 ดีกว่าที่ตลาดคาด กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) มองตลาดเริ่มให้น้ำหนักภาพฟื้นตัวนับจาก 3Q24 หลังหุ้นปรับฐานช่วงก่อนหน้าจากกำไร 2Q24 ที่ฟื้นช้าที่คาดหมายไว้ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (OR, TOP) ตามประเด็นเฉพาะตัว OR จากความเสี่ยงกฎระเบียบรัฐบาลเรื่องการกำกับดูแลราคาน้ำมัน TOP จิตวิทยาลบเหตุชุมนุมประท้วง กลุ่มอาหาร+เครื่องดื่ม (CPF, ITC) มองจิตวิทยาลบเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า + PMI ภาคผลิตสหรัฐฯ พลิกเป็นหดตัว

• (*) Flow : กระแสเงินทุนวานนี้เป็นภาพไหลเข้า ขายหุ้น -6.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +133.5 ล้านเหรียญฯ TFEX เป็นสถานะ Net Short สุทธิราว -4,621 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าเล็กน้อย 36.2 +/- บาท

• (*/+) BOI : BOI เปิดเผย ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 1H24 มีมูลค่า 4.58 แสนล้านบาท +35%y-y ทั้งนี้ จุดที่เรามองบวก คือ 1.) ยอด 1H24 คิดเป็น 54% ของยอดขอทั้งปีก่อนแล้ว เป็นพัฒนาการทางบวก หากอิงภาพปกติที่ยอดช่วงครึ่งปีหลังมักจะสูงกว่าครึ่งปีแรก 2.) สัดส่วน 44.5% ของมูลค่าที่ขอขอรับส่งเสริมการลงทุน กระจายอยู่ในอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ อาทิ อิเลคทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจร PCB อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์อัจฉริยะ Data Center กิจการระบบ Automation ขณะที่ยอดขอ FDI งวด 1H24 สูง 3.25 แสนล้านบาท +16%y-y มองบวกต่อพัฒนาการอีกด้านหนึ่งของเศรษฐกิจไทย และหุ้นกลุ่มนิคม อาทิ WHA AMATA

• (-) Car Sales : ยอดผลิตรถยนต์ พ.ค. 24 ปรับตัวลดลง -20%y-y มาอยู่ที่ 1.16 แสนคัน กดดันจากยอดขายในประเทศ -26%y-y ส่วนยอดส่งออกทรงตัว y-y หลังรายงาน สภาอุตสาหกรรมรถยนต์ปรับเป้าผลิตปี 2024F เหลือ 1.7 จาก 1.9 ล้านคัน เราประเมินอุตสาหกรรมดังกล่าวยังเป็นส่วนที่กดดันภาพเศรษฐกิจไทย ในฝั่งภาคผลิต ขณะที่นักวิเคราะห์กลุ่มยานยนต์เรายังมีมุมมองแม้หุ้นในกลุ่มจะสะท้อนภาพลบไปแล้ว แต่ยังขาดปัจจัยขับเคลื่อน และยังไม่มีแนะนำเข้าลงทุน

• (*) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 403 บริษัท) พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 63 บริษัท (วันทำการล่าสุด 46 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 258 บริษัท (วันทำการล่าสุด 260 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 78 บริษัท (วันทำการล่าสุด 95 บริษัท)

• (*) To Monitor: วันนี้ติดตาม 1.) ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาคดี BTSC ฟ้อง กทม. เกี่ยวับการชำระเงินค่าเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีเขียว 2.) รายงานยอดนำเข้า - ส่งออก มิ.ย. 24 ตลาดคาดส่งออก 2.0%y-y vs prev. 7.2%y-y ยอดนำเข้า ตลาดคาด 3.0%y-y vs prev. 1.7%y-y 3.) รายงานกำไร Real Sector วันนี้ คือ DELTA

สัปดาห์หน้า ติดตาม 1.) 31 ก.ค. รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มิ.ย. ตลาดคาด -0.3%y-y vs prev. -1.54% 2.) 31 ก.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัด มิ.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 647 ล้านเหรียญฯ 3.) 1 ส.ค. PMI ภาคผลิต มิ.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 51.7 จุด 4.) รายงานกำไรหุ้น Real Sector ได้แก่ PTTEP, TRUE

 

 

Daily Strategy : KTB, GULF, MINT เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "เริ่มตั้งฐานได้" หุ้นสหรัฐฯ แม้ภาพใหญ่ภาวะการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงยังดูเป็นบวก เศรษฐกิจสหรัฐฯยังน่าจะเป็นภาพ Soft Landing และเงินเฟ้ออ่อนตัวลงต่อเนื่อง แต่ยังถูกดดันจากแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยี เปลี่ยนไปลงทุนกลุ่ม Value อาทิ น้ำมัน ธนาคาร และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ส่วนไทยพัฒนาการเศรษฐกิจการลงทุนเอกชนเป็นบวก ขณะที่วันนี้ติดตามยอดส่งออก มิ.ย. 24 มองหุ้นนำ 1) หุ้น Value (พลังงานต้นน้ำ, ธนาคาร) 2) หุ้นกลุ่มคาดรายงานกำไร 2Q24 ดี (ค้าปลีก สื่อสาร อาหาร โรงไฟฟ้า ท่องเที่ยว) 3) หุ้นนิคม (ยอดขอ BOI งวด 1H24 +35%y-y)

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC, MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• MSCI Rebalance: ดัชนี MSCI มีกำหนดการประกาศผลการ Rebalance รอบใหม่วันที่ 12 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 13 ส.ค.) โดยการ Rebalance จะมีผล 30 ส.ค. เบื้องต้นเราคาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลุดออกจากดัชนี ได้แก่ AWC GPSC EA เสี่ยงระดับกลาง คือ IVL เสี่ยงต่ำ คือ KTC ระยะสั้นมีโอกาสหุ้นชุดดังกล่าวจะมีโอกาสเคลื่อนไหว Underperform เชิงกลยุทธ์ให้เลี่ยงลงทุนไปก่อน

Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย

การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21

อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%

ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

 

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 


• SPALI (Trading Buy, TP21): มุมมอง slightly positive ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24F ที่ 1.5 พันลบ. (-12% y-y, +144% q-q) เพราะดีกว่าที่คาดก่อนหน้า จากการโอนโครงการที่ Australia สูงกว่าที่คาด โดยรวม core operation มีสัญญาณดีขึ้นมาก q-q โดยเฉพาะด้านการโอนทั้ง low-rise และ condo เพราะโครงการใหม่เข้ามาโอนมาก รวมถึงคาดรักษา % GPM ที่สูง 36.5% ได้ ทั้งนี้กำไรสุทธิ 1H24F ที่ 2.1 พันลบ. (-24% y-y) คาดคิดเป็น 36% ของกำไรสุทธิ 2024F ที่ 5.8 พันลบ. (-3% y-y) โดยยังมีโอกาสเป็นไปได้ เพราะโครงการใหม่รอโอนใน 2H24F มาก เราคง TP24F ที่ 21.0 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ Trading Buy มอง story ใน 2H24F ดีขึ้นกว่า 1H24 จากแนวโน้ม presale และกำไรสุทธิที่ดีขึ้น h-h อย่างไรก็ตาม outlook ปี 2025F ยังเป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะ backlog condo ที่รอโอนใน 2025F ไม่มาก ทำให้ต้องพึ่งพิงการระบาย stock condo ที่มาก รวมถึงการขาย low-rise ที่มากมาชดเชย ซึ่งอาจทำได้ไม่ง่ายนัก

• SCC (Trading Buy, TP290): มอง Negative ต่อข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์ ที่โครงการ LSP เลื่อน COD ไปอีก 1 เดือน อาจส่งให้ตลาดกังวลต่อภาระแบกต้นทุนคงที่ต่อเนื่อง (800-1,000 ลบ./เดือน) ทั้งนี้ระยะสั้นเรายังไม่เห็น catalyst บวก คงมุมมองรอโครงการ LSP เริ่ม COD ก่อน(หากเลื่อนเกินกว่า 1Q25F ประมาณการเราจะมี downside) ค่อยเข้าเก็งกำไรการฟื้นของธุรกิจปิโตรเคมีที่ spread ฟื้นตัว จาก oversupply ที่ลดลง รวมถึงปริมาณขาย LSP เข้ามาหนุนกำไร คาดกำไรปกติ 2025-26F ฟื้นเฉลี่ย 70% CAGR

• KLINIQ(Buy, TP49): เรามีมุมมอง Slightly Negative ต่อแนวโน้มผลประกอบการ 2Q24F ของ KLINIQ โดยคาดกำไรสุทธิที่ 79 ลบ. เพิ่มขึ้น +11%y-y และ +4%q-q ปัจจัยหลักจากรายได้ที่สูงขึ้นตามการขยายสาขา และ SSSG +11.4% แต่ยังถูกกดดันจาก margin ที่ยังฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า โดยเราคงประมาณการกำไร 2024-26F มองช่วงครึ่งปีหลังกำไรจะสามารถเติบโต y-y และ q-q ได้ในทุกไตรมาส และคงคำแนะนำ "Buy" ที่ TP24F เดิม 49 บาท ปัจจุบัน Valuation ยังอยู่ระดับไม่แพง อีกทั้งแนวโน้มอุตสาหกรรมด้านศัลยกรรมและความงามเป็นขาขึ้น

• AUTO(Negative): Car production in May fell by 20% yoy to 116k units, which made 2Q24 car production drop by 16%. This would pressure the automotive sector to report weak 2Q24's earnings. Although 2Q24 earnings should be bottom, the downside of automotive share price may limit, we can't see any major catalyst that could bounce share price back yet. Maintain NEGATIVE on sector. No top pick.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อ่อนตัว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ พรุ่งนี้ ประเทศไทย เข้าสู่ฤดูฝน ตอนนี้แถว รัชดาฯฝนตก อากาศเย็นสบาย นั่งมองหุ้นหลาย....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้