Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

425

 

 

กำไร2Q67 .. DIGITAL WALLET … การเมือง
ปัจจัยที่มีน้ำหนักในการกำหนดทิศทางตลาดหุ้นบ้านเรา มีอยู่ 3 ส่วนหลักโดย 1 เรี่องเป็นแรงกดดันได้แก่สถานการณ์ทางการเมืองซึ่ง ในวันที่ 7ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคำร้องให้ ยุบพรรคก้าวไกล และในวันที่ 14 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคำร้องให้ถอดถอนนายกฯ เศรษฐา ซึ่งเป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญได้ ส่วนเรื่องที่มีน้ำหนักทางบวกต่อตลาดมี 2 เรื่อง คือDIGITAL WALLET ซึ่งมีความก้าวหน้าไปตามลำดับล่าสุดมีการกำหนดช่วงเวลาลงทะเบียนรับสิทธิ ทั้งในส่วนของประชาชน และร้านค้า แต่อย่างไรก็ตามต้องแลกมาด้วยระดับหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นในอนาคต อีกเรื่องหนึ่งคิด ผลประกอบการ 2Q67 ของบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่าจะเติบโตราว20% YOY ทั้งนี้เรามองว่าช่วง 2 สัปดาห์จากนี้ปัจจัยการเมืองยังมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยบวกSET INDEX ยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวช่วง1290 –1305 จุด หุ้น TOP PICK เลือก AMATA, BEM และ GULF

 


DIGITAL WALLET เดินหน้า หวังพาเศรษฐกิจโตมากขึ้น
การกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศผ่านโครงการ DIGITAL WALLET ยังคงเห็นรัฐบาลเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเตรียมพร้อมในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งวงเงินงบประมาณ ระบบการลงทะเบียน และการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขณะที่การแถลงของกระทรวงการคลังล่าสุด มีความคืบหน้า TIMELINE ที่ดูชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนตั้งแต่ 1 ส.ค.-15 ก.ย. 67 และเริ่มใช้จ่ายภายใน 4Q67ด้านรัฐบาลประเมินว่า หากการใช้จ่ายในโครงการ DIGITAL WALLET เริ่มก่อนเดือนธ.ค. 67 จะช่วยผลักให้ GDP GROWTH บ้านเราปี 2568 โตเพิ่มขึ้น 1.2-1.8% หรือมีเม็ดเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนในระบบ (TURNOVER) 0.47 - 0.7 เท่า ส่วนหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มอาหาร-ค้าปลีก/ค้าส่ง อาทิ CPALL, CBG, ICHI,OSP, TFG, BTG, CPAXT, BJC เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในมุมความเสี่ยงภาระผูกพันของประเทศ ยังต้อติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ กำลังถูกแลกมาด้วยการก่อหนี้สิน ขณะที่หนี้สาธารณะ/GDP ของไทยเดือน พ.ค. 67 ล่าสุดอยู่ที่ 64.29% ซึ่งภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง70%รัฐบาลยังก่อหนี้ได้อีกแค่ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการรองรับกับวิกฤตใหญ่ๆ หากเกิดขึ้นในอนาคตอีกทั้งยอดหนี้สาธารณะของบ้านเรายังเติบโตเร็วกว่า GDP GROWTH มาเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า อาจมีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะ/GDP จะเกินกรอบเป้าหมายได

สรุป รัฐบาลเดินหน้าโครงการ DIGITAL WALLET คาดช่วยผลักให้ GDP
GROWTH บ้านเราปี 2568 โตเพิ่มขึ้น 1.2-1.8% อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินเงินที่อัดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ กำลังแลกมาด้วยแนวโน้มการก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และหากGDP GROWTH ไทยขยายตัวช้า ยังเป็นความเสี่ยงที่ต้องระวังในอนาคต

ทิศทางราคาน้ำมันในไทยจะเป็นเช่นไร ต้องติดตาม
จากประเด็นข่าวที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขกฎหมายในการดูแลราคาน้ำมันว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ เพื่อทดแทนพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ในการใช้บริหารจัดการสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน ซึ่งจะพยายามให้มีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2567 โดยกฎหมายใหม่จะเป็นการดึงอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีน้ำมันมาอยู่ที่กระทรวงพลังงาน โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการที่มี รมว.พลังงานเป็นประธานในการกำหนดเพดานภาษีน้ำมัน โดยคลังยังเป็นผู้จัดเก็บภาษีน้ำมันเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ให้เก็บภาษีเกินเพดานที่กำหนด ส่วนเพดานภาษีควรเป็นเท่าไรนั้น ทางกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมาคำนวณอัตราที่เหมาะสม ภายใต้หลักการคือ จะไม่มีการเก็บรายได้เข้าสู่รัฐด้วยภาษีนี้ เพราะปัจจุบันภาษีที่เรียกเก็บจากน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยมีความซ้ำซ้อน มีทั้งภาษีสรรพสามิตร 5.99 บาทต่อลิตร ภาษีท้องถิ่น 6.50 บาทต่อลิตร ขณะที่ค่าเนื้อน้ำมันอยู่เพียง 21 บาทต่อลิตรประเด็นดังกล่าวจึงถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามถึงรายละเอียดในกฎหมายฉบับใหม่
เพราะการกำหนดเพดานภาษี โดยผ่านกลไกเรื่องของภาษีสรรพสามิตร ภาษีท้องถิ่นที่ภาครัฐเคยจัดเก็บมา นั่นหมายถึงรายได้ของภาครัฐจะลดลง ซึ่งจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงจะนำเงินส่วนใดมาชำระหนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งปัจจุบันติดลบมากกว่า 1 แสนล้านบาท โดนการกำหนดเพดานภาษีน้ำมันถือเป็นการช่วยเหลือภาคประชาชนผู้ใช้ แต่ต้องติดตามว่าฝ่ายใดหน่วยงานใดจะเป็นผู้รับภาระไป


2 คดีใหญ่ทางการเมืองไทย เข้าใกล้ความชัดเจนในเดือนหน้า
2 คดีใหญ่ทางการเมืองไทยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา คือ คดีถอดถอนเศรษฐาพ้นนายกฯ และ คดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งมีความคืบหน้าและรายละเอียด ดังนี้
• คดียุบพรรคก้าวไกล ศาล รธน.นัดฟังคำวินิจฉัย วันที่ 7 ส.ค.67 เวลา 15.30น.
• คดีถอดถอน นายกฯ เศรษฐา ศาล รธน.นัดฟังคำวินิจฉัย วันที่ 14 ส.ค.67เวลา 15.00 น.
ซึ่งประเด็นแรก หากศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้ว ยุบพรรคก้าวไกล สส.ภายในพรรคสามารถย้ายพรรคได้ภายใน 60 วัน ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อฐานจำนวน ส.ส. ของพรรคร่วมรัฐบาบ แต่หากไม่ถูกสั่งให้ยุบพรรค ท่าทีของพรรคฝ่ายค้านทางสภาฯ ก็น่าจะดูร้อนแรงและแข็งแกร่งมากขึ้น

ส่วนประเด็นสอง หากศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้ว กรณีที่ นายกฯ ถูกถอดถอน ตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบ เพราะ ครม.ในปัจจุบัน จะพ้นสภาพไปด้วย และต้องมีการโหวตเลือกนายกใหม่ และอาจนำไปสู่มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่เตรียมไว้ อาทิDIGITAL WALLET ต้องชะลอออกไปเช่นกัน แต่ถ้านายกฯ ไม่ถูกถอดถอน การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ และตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองในเชิงบวก

 

สรุป ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยังต้องติดตามต่อ โดยจะรู้ผลลัพธ์ในเดือนหน้า จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยระยะถัดไป และในช่วงเวลาก่อนรู้ผล(ปัจจุบัน) น่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในกรอบแคบตลาดผันผวน แต่ต่างชาติแอบสะสมหุ้นไทยผ่าน NVDRช่วงนี้ตลาดหุ้นโลกผันผวน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม TECH ตกหนัก สังเกตจากดัชนีNASDAQ วานนี้ -3.64% ลงภายในวันเดียวแรงสุดในปีนี้


ส่งผลให้ผลตอบแทน NASDAQ ในเดือนนี้ที่เคยขึ้นไปถึง +5.3% พลิกกลับมาเป็น -2.2% (MTD) นอกจากนี้ยังมีตลาดหุ้น TECH อื่นๆ ตกหนัก อาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น(NIKKEI) เคยบวก +7.2% พลิกลงมา -1.1%(MTD) อย่างไรก็ตามเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น TECH ขนาดใหญ่มีการกระเซ็นเข้ามาในตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น อาทิ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ +5.3%(MTD) และอินโดนีเชีย +2.8%(MTD) รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ทรงๆตัว -0.2%(MTD)


แม้ในประเทศ มีประเด็นกดดันหลากหลาย ทั้งความไม่แน่นอนการเมือง การดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่เลื่อนออกไป โดยเฉพาะกองทุน TESG ใหม่ รวมถึงความกังวลการ ROLLOVER หุ้นกู้ในช่วงนี้ กดดัน SET INDEX ขยับตัวขึ้นได้ยาก แต่เชื่อว่าการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยก็จำกัดเช่นกัน เพราะเห็นการทำงานของกฏ UPTICKRULE จากปริมาณการ SHORT SELL เดือนนี้เหลือเพียง 4.35% ของมูลค่าซื้อขาย(ค่าเฉลี่ยปีนี้ 11%) และต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อทางตรงบ้าง (ซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อ 5วัน)ที่สำคัญกว่านั้น คือ เห็นเม็ดเงินที่มีการไหลเข้าผ่าน NVDR สูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท(MTD) ช่วงพยุง SET INDEX ในเดือนนี้ให้ทรงๆ ตัว แต่ OUTPERFORM กว่าตลาดหุ้นหลายประเทศได้ โดยมีรายชื่อหุ้นที่ถูกซื้อผ่าน NVDR ในเดือนนี้เยอะสุด คือCPALL รองลงมาคือ BBL, DELTA, TRUE, CPF, ADVANC, KBANK, IVL,PTTGC, COM7 และหุ้นอื่นๆ


ดังนั้นเพื่อหลบความผันผวนจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในในช่วงนี้ แนะนำหุ้นพื้นฐานเด่นที่ต่างชาติทยอยสะสมผ่าน NVDR อย่าง CPALL, ADVANC, KBANK,IVL, PTTGC, BGRIM, BH, AWC, GPSC, BEM, PLANB

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หมดข่าว เลิก By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็น นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยออก วานนี้ หลังจาก สหรัฐกับจีน ตกลงการค้า จบด้วยดี.....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้