Today’s NEWS FEED

News Feed

ฟิทช์ประกาศนำอันดับเครดิต บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และ บจก. แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค เข้าสู่เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ

816

 

 

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(19 กรกฎาคม 2567)----------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศนำอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันที่ ‘AAA(tha)’ ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN เข้าสู่เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ (Rating Watch Negative)

 

ฟิทช์ได้นำอันดับเครดิตดังกล่าวเข้าสู่เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ หลังจากที่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ถึงแผนที่จะควบรวมกิจการกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ AIS คือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และจัดตั้งบริษัทใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลักคือ อินทัช กัลฟ์ และบริษัท สิงคโปร์ เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด หรือ Singtel จะเป็นผู้เสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ AIS (Tender offer) ก่อนการควบรวมกิจการ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องผ่านการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง

 

เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการอาจมีอำนาจควบคุม AIS หลังจากการเสนอซื้อหุ้น โดยสถานะทางเครดิตของบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมที่อาจอ่อนแอกว่า AIS อย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลให้อันดับเครดิตของ AIS ถูกปรับลดลงได้หลายระดับ ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูกของฟิทช์ (Parents and Subsidiary Linkage Rating Criteria) ปัจจุบันอันดับเครดิตของ AIS สะท้อนถึงสถานะทางเครดิตโดยลำพังของบริษัท (Standalone Credit Profile)

 

ฟิทช์คาดว่าการจะมีการนำอันดับเครดิตออกจากเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เมื่อการเสนอซื้อหุ้นเสร็จสิ้นและโครงสร้างการถือหุ้นของ AIS มีความชัดเจน ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือน

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

 

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นที่อาจเกิดขึ้น: การเสนอซื้อหุ้นอาจส่งผลให้โครงสร้างการถือหุ้นของ AIS เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หากบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการมีอำนาจควบคุม AIS ฟิทช์จะใช้เกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูก เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่าง AIS และบริษัทแม่ ซึ่งฟิทช์คาดว่าจะมีสถานะทางเครดิตที่อ่อนแอกว่า AIS โดยฟิทช์คาดว่าจะพิจารณาเรื่องความสามารถในการเข้าถึงและการควบคุม (Access and Control)ของบริษัทแม่ต่อ AIS จะอยู่ในลักษณะ กึ่งเปิด (Porous) หรือเปิด (Open) และกลไกการป้องกันทางกฎหมาย (Legal Ring-fencing) จะอยู่ในลักษณะเปิด (Open)

 

ดังนั้นอันดับเครดิตของ AIS จะถูกจำกัดที่สถานะทางเครดิตของกลุ่มบริษัทแม่ หรือหรืออาจสูงกว่าได้หนึ่งระดับ ซึ่งการพิจารณาดังกล่าวอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตของ AIS หลายระดับ

 

บริษัทแม่ที่มีสถานะอ่อนแอกว่า: ฟิทช์เชื่อว่าบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะมีสถานะทางเครดิตที่อ่อนแอกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ AIS ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของบริษัทใหม่ (ซึ่งรวมงบการเงินของ AIS และหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเสนอซื้อหุ้น) จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนหนี้สินของ AIS ณ ปัจจุบันที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ

 

อย่างไรก็ตาม การรวมอินทัชและ AIS เข้ากับบริษัทใหม่จะทำให้มีการกระจายตัวที่ดีขึ้น ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจโทรคมนาคมและพลังงาน

 

สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ AISที่มีความแข็งแกร่ง: สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ AIS ยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการประมาณร้อยละ 48 การเข้าซื้อกิจการของบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบรอดแบนด์รายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย ได้สนับสนุนการกระจายตัวของแหล่งที่มาของรายได้ของ AIS ไปสู่บริการที่ไม่ใช่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นและสนับสนุนการเติบโตของรายได้และความมั่นคงของกำไรในระยะกลาง ฟิทช์คาดว่า AIS จะรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ประมาณ 1.5 เท่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า (2566: 1.5 เท่า)

 

สภาวะการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์เชื่อว่าอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันด้านราคาที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะสนับสนุนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ และการเติบโตของรายได้ของ AIS ทั้งนี้ อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยเริ่มมีสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นจากการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เสร็จสิ้นในปี 2566 ผู้ประกอบการได้มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรมากกว่าการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และค่อย ๆ ปรับลดการเสนอแพ็คเกจข้อมูลแบบไม่จำกัด

 

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

 

อันดับเครดิตของ AIS มีความแข็งแกร่งกว่าอันดับเครดิตของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiBev ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดสุราและเบียร์ในประเทศไทย เวียดนาม และเมียนมาร์      AIS และ ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจในระดับใกล้เคียงกัน เนื่องจากบริษัททั้งสองเป็นผู้นำในธุรกิจที่ตนดำเนินการอยู่  AIS มีการกระจายตัวของธุรกิจในด้านภูมิภาคที่น้อยกว่า ThaiBev แต่อันดับเครดิตภายในประเทศของ AIS อยู่ในระดับสูงกว่า ThaiBev อยู่สองอันดับเนื่องจาก AIS มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า

 

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ AIS อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย AIS มีสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่ากว่า ปตท. เล็กน้อย โดย ปตท. มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของธุรกิจมากกว่า AIS ซึ่งช่วยลดทอน ความผันผวนที่เกิดจากธุรกิจย่อยแต่ละธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมของ AIS มีความผันผวนน้อยกว่า นอกจากนี้  AIS มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า โดยมีอัตราส่วน EBITDA Net Leverage อยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับ ปตท. ที่ระดับ 2.0 เท่า

 

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

- รายได้จากการให้บริการเติบโตประมาณร้อยละ 3 ต่อปี ในปี 2567 และ 2568 เนื่องจากเศรฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นและสภาวะการแข่งขันที่เปรับตัวดีขึ้น

- Operating EBITDA margin ที่ลดลงเหลือร้อยละ 38 ในปี 2567 (ปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 40.7) หลังจากการเข้าซื้อกิจการ บรอดแบนด์ ที่มีอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่ต่ำกว่า

- เงินลงทุนในการขยายโครงข่ายอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2567 (ปี 2566 อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท)

- จ่ายเงินปันผลในอัตราร้อยละ 95 ของกำไร

 

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

 

AIS และ AWN

ปัจจัยบวก

-               ฟิทช์อาจยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบและประกาศคงอันดับเครดิต หากการควบกิจการไม่ถูกดำเนินต่อ การเสนอซื้อหุ้นถูกยกเลิก หรือหากบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ มิได้มีอำนาจควบคุม AIS

ปัจจัยลบ

-               ฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตของ AIS หากการเสนอซื้อหุ้นส่งผลให้บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการมีอำนาจควบคุม AIS โดยอันดับเครดิตของ AIS จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาสถานะทางเครดิตของกลุ่มบริษัทแม่ และและ กลไกการป้องกันทางกฎหมาย (Legal Ring-fencing) หากมี รวมถึง พิจารณาเรื่องความสามารถในการเข้าถึงและการควบคุม (Access and Control) ของบริษัทแม่ ต่อ AIS ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูก (Parents and Subsidiary Rating Linkage Criteria)

 

สภาพคล่องและโครงสร้างหนี้

สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้: AIS มีหนี้จำนวน 5.5 หมื่นล้านบาท ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือนนับตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม 2567 โดยจำนวน 3.7 หมื่นล้านบาทเป็นเงินกู้ระยะสั้นชั่วคราว (bridging loan) เพื่อสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการ TTTBB ในปี 2566 โดยฟิทช์คาดว่า AIS จะมีการกู้ระยะยาวหรือออกหุ้นกู้ภายในประเทศ เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว โดยหนี้ที่เหลือ 1.8 หมื่นล้านบาท ที่ถึงกำหนดชำระ น่าจะรองรับด้วย ด้วยเงินสดจำนวน 2.33 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 สภาพคล่องของ AIS ยังได้รับการสนับสนุนจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ภายในประเทศ เนื่องจากสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งของบริษัท

 

เกี่ยวกับบริษัท: AIS เป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามรายได้จากการให้บริการร้อยละ 48 และเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ โดยมีลูกค้าจำนวน 2.2 ล้านราย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงประมาณร้อยละ 16 บริษัท อินทัช โฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน) และ Singtel เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ฯ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 40 และ 23 ตามลำดับ

 

อันดับเครดิตที่เกี่ยวโยงกับอันดับเครดิตอื่น

อันดับเครดิตของ AWN อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของ AIS

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หมดข่าว เลิก By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็น นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยออก วานนี้ หลังจาก สหรัฐกับจีน ตกลงการค้า จบด้วยดี.....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้