Today’s NEWS FEED

News Feed

บล. เอเซีย พลัส : Market Talk

588


หุ้นกลุ่ม VALUE น่าสนใจมากขึ้น
แม้วานนี้หุ้นกลุ่มเทคฯ โลกตกแรง จากความกังวลปธน. ไบเดน เตรียมเพิ่มมาตรการกีดกันจีนที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงทรัมป์บอกไต้หวันควรจ่ายเงินให้กับสหรัฐฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปกป้องไต้หวัน กดดันหุ้นTSMC ของไต้หวันตกหนัก แต่คาดเม็ดเงินที่เคยไหลเข้าตลาดหุ้นในแถบเอเชียเหนือ อาจไหลกลับเข้ามาที่ตลาดหุ้นเอเชียใต้และไทยมากขึ้น และยังได้แรงหนุนจากกำไรจากอัตาแลกเปลี่ยน หลังเงินบาทแข็งค่า หลัง FED มีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์อ่อนจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าเร็วกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย คาดมีหุ้นที่ได้ SENTIMENT บวก น่าสะสมลงทุนในช่วงนี้อยู่ 3 ธีม 1). หุ้นนิคม AMATA, WHA, ROJNA, PIN รับกระแสการกระจายการลงทุนลดความเสี่ยงในจีน และในอดีตขึ้นได้แรงในสมัยทรัมป์เป็นปธน. 2). หุ้นน้ำมัน โรงกลั่น PTTEP TOP BCP จากราคาน้ำมันฟื้นแรงสต็อกลดลง และเก็งกำไรนโยบายเน้นพลังงานฟอสซิลของทรัมป์ 3). หุ้นรับบาทแข็ง BOND YILED สหรัฐลงเร็ว GULF, GPSC,SIRI, INTUCH, MTC, SAWADส่วน SET INDEX วันนี้ประเมินเคลื่อนไหวในกรอบ 1310–1328จุด ส่วนหุ้น TOP PICK เลือก CPALL, GULFและ BDMS

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐานแรง มีปัจจัยอะไรเป็นตัวกดดัน และส่งผลต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงราว 1.3%-2.9% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม TECH ที่ปรับตัวลงแรง อาทิ NVIDIA -6.6% AAPL -2.5% AMZN -2.6% MSFT -1.3%
ตามลำดับ ขณะที่หุ้น TECH ไต้หวันอย่าง TSMC ก็ปรับตัวลงแรงถึง 6.1% ซึ่งปัจจัยกดดันหลักๆ คือ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมพิจารณาออกมาตรการที่เข้มงวดบังคับใช้ต่อบริษัท TECHNOLOGY ในสหรัฐฯ หากทางบริษัทยังคงอนุญาตให้บริษัทจีนเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐ

ขณะที่ทางทรัมป์กล่าวว่า ไต้หวันควรจ่ายเงินให้กับสหรัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปกป้องไต้หวัน และไต้หวันยังได้เอาธุรกิจชิปของเราไปทั้ง 100% ถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเกิดความวิตกเกี่ยวกับพันธกรณีของสหรัฐในการปกป้องไต้หวัน หากถูกจีนโจมตี ในกรณีที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.67 และกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้DOLLAR INDEX อ่อนค่าแรง 0.5% อยู่ที่ระดับ 103.75จุด และหนุนราคาน้ำมันดิบ BRENT วานนี้ปรับตัวขึ้น 1.6% อยู่ระดับ 85.08 เหรียญฯ/บาร์เรล อีกทั้งราคาน้ำมันดิบยังมีปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของEIA ที่ลดลง 4.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดลดลงเพียง 30,000 บาร์เรลประเด็นดังกล่าว ถือว่าสร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น-น้ำมันอย่างPTT PTTEP TOP BCP SPRC เป็นต้น


ขณะที่ทางฝั่งประเทศไทยหากทางทรัมป์ได้รับการคัดเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2จริง คาดหนุนให้ยอด BOI และ FDI เร่งตัวขึ้นเฉกเช่นในอดีต และตอบสนองในเชิงราคาหุ้นได้เป็นอย่างดี โดยเมื่อปี 2017 ที่ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัย 1 SET +13.6% ส่วนหุ้นกลุ่มนิคมอย่าง AMATA +126%,ROJNA +56% และWHA +35%

ขณะที่ปัจจุบันตัวเลขของต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมลงทุนยังเร่งตัวขึ้น YOY โดยมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในไทยช่วง 5M67 ทะลุ 7.1 หมื่นล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้น58%YOY โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 2.สิงคโปร์ 3.สหรัฐฯ 4.จีน 5.ฮ่องกง เชื่อว่าแรงดึงดูดนักลงทุนต่างชาติตามแนวทางของรัฐบาล จะหนุนให้ยอด FDI ขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยอดการขอรับการส่งเสริมฯ จาก FDI ในงวด1Q67 ขยายตัว +16%YOY ซึ่งน่าจะเห็นเม็ดเงินที่ไหลเข้าจริงๆ ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าประเด็นดังกล่าว ถือว่าสร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอย่าง AMATAWHA ROJNA PIN เป็นต้น


สรุป ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐานแรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม TECH หลังคำพูดของทั้งไบเดน-ทรัมป์ ส่งผลให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่าแรง และหนุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นตามกลไก ดีต่อ PTT PTTEP TOP BCP SPRC เป็นต้น ส่วนหุ้นกลุ่มนิคมอย่างAMATA WHA ROJNA PIN จะได้ประโยชน์หากเกิดการกีดกันการค้ากันระหว่างสหรัฐฯ-จีน เฉกเช่นเดียวกับตอนที่ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัย 1

เห็นแววเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น
DOLLAR INDEX ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง จนล่าสุดอ่อนค่ามากสุดในรอบ 2 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 103.75 จุด โดยย่อตัวลงมา -2.0%MTD หลังได้รับแรงกดดันจาก
1. เงินเยนแข็งค่าขึ้นกว่า 1%ในเชิงเปรียบเทียบกับ USD ภายใน 1 วัน คาดญี่ปุ่นออกโรงแทรกแซงค่าเงิน

2. BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ราว 30 BPS. มาอยู่ที่ 4.16% อีกทั้งวานนี้ยังมีแรงกดดันจากผู้ว่าการ FED
(คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์) ส่งสัญญาณ FED ลดดอกเบี้ยเดือนก.ย. 67 โดยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอตัว แต่ไม่ถึงกับเข้าสู่ภาวะRECESSION พร้อมกับเชื่อว่าใกล้ถึงเวลาเหมาะสมที่จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ย

ดอลลาร์ที่อ่อนค่า บวกกับความคาดหวังดอกเบี้ยขาลง ส่งผลให้ผลต่างระหว่างBOND YIELD 10Y สหรัฐฯ – ไทย มี GAP ที่แคบลง หนุนให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเป็น 35.88 บาท/USD ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำหุ้นไทย 3 กลุ่มมักรีบาวน์ประจำ รับกระแสดังกล่าว

1. หุ้นปันผลสูง อาทิ SIRI TTB INTUCH
2. หุ้นได้ประโยชน์บาทแข็ง อาทิ GULF BGRIM GPSC
3. หุ้นรับวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ TIDLOR MTC SAWAD


เศรษฐกิจไทยยิ่งโต ก็ยิ่งลดความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะเกินกรอบเป้าหมาย 70%
วานนี้ในการประชุมสภาฯ มีมติเสียงข้างมาก (297:164 เสียง) รับหลักการร่างกฎหมายเพิ่มงบโครงการ DIGITAWALLETวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ก่อนที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบเพิ่มเติมปี 2567 วาระ 2-3 ต่อไปในวันที่ 31 ก.ค. 67การใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นความเสี่ยงที่ทำให้หนี้สาธารณะ/GDP สูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินสมมุติฐานต่างๆ ได้ว่า รัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มได้ราว 1.2 ล้านล้านบาท ภายใต้ GDP เท่าเดิมก็ยังอยู่ในกรอบ 70% หนี้สาธารณะต่อ GDP อย่างไรก็ตามหาก GDP เติบโตได้อย่างน้อย 3% จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้ถึง 1.45 ล้านล้านบาท โดยที่ไม่เกินกรอบเป้าหมาย ตามตารางทางด้านล่าง


สรุป เศรษฐกิจไทยที่เติบโตมากขึ้น จะทำให้การก่อหนี้สาธารณะมี ROOM ที่กว้างขึ้นลดความเสี่ยงการกู้เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง

จับตางบ 2Q67 ของธนาคารที่เหลือ ... ตลาดให้น้ำหนักไปที่NPL และ CREDIT COST
จับตาการประกาศงบการเงินงวด 2Q67 ของธนาคารที่เหลือในวันที่ 18 –19 ก.ค. 67โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มฯ (8 ธนาคาร) ที่ 6.1 หมื่นล้านบาท ลดลงราว2%QOQ (ทรงตัว YOY) จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) อ่อนแอ ตามทิศทางสินเชื่อชะลอตัว รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ของ ธ.พ. ใหญ่ประกอบกับต้นทุนทางการเงิน ปรับขึ้นเพราะการ REPRICING เงินฝากประจำ ด้านCREDIT COST มองไว้ทรงตัว QOQ (+ YOY) ภายใต้ภาพเศรษฐกิจไทยที่ไม่ได้มี พัฒนาการจากงวดก่อน ส่งผลให้ประเมิน NPL / LOAN กลุ่มฯ ขยับมาที่ 3.7% เทียบกับ 3.6% ณ สิ้นงวดก่อน (3.5% ณ สิ้นปี 2566) และ COVERAGE RATIO ต่ำลงเหลือ 176% จาก 179% ณ สิ้นงวดก่อน เหตุเพราะการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุก ผ่านการ WRITE-OFF และขาย NPL สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย


ทั้งนี้ หากพิจารณาการเติบโตของกำไรเชิง YOY ประเมิน TTB ที่มี TAX SHIELD และKBANK จากทิศทาง CREDIT COST ลดลงมาที่ 1.9% (1Q67 ที่ 1.9% และ 2Q66มีฐานสูงที่ 2.1%) มีโอกาสกำไรสุทธิขยายตัว YOY สูงกว่ากลุ่มฯ (รายละเอียดเพิ่มเติม INDUSTRY UPDATE กลุ่มฯ วันที่ 2 ก.ค. 67)
โดยประเด็นที่ฝ่ายวิจัยมองว่าตลาดให้น้ำหนักในงวดนี้อยู่ที่คุณภาพสินทรัพย์ หลังTISCO ประกาศงบการเงินสัปดาห์ก่อน แม้กำไรสุทธิตามคาด แต่สัดส่วน NPL /LOAN เพิ่มมากกว่าคาด จากสินเชื่อเช่าซื้อและจำนำทะเบียนรถ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเปิด DOWNSIDE RISK ต่อคาดการณ์กำไร 2Q67 จาก CREDIT COST รวมถึงการตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงให้กับบริษัทที่ถูกลดอันดับเครดิตโดย TRIS RATINGเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

ภาพรวมกลุ่มฯ จืดชืด แต่ด้วยค่าเฉลี่ย PBV กลุ่มฯ ซื้อขาย 0.8 เท่า และให้ DIV YIELDเกิน 5% ต่อปี ยังมีความน่าสนใจเชิง VALUATION ให้คำแนะนำ OUTPERFORM กับKBANK (FV@B148), BBL (FV@B175) และ TTB (FV@B1.98) สำหรับ ธ.พ. ที่เหลือเรียงตามความชอบดังนี้ KTB (NEUTRAL : FV@B19) > TISCO (NEUTRAL :FV@B100) > SCB (NEUTRAL : FV@B111) > KKP (UNDERPERFORM :FV@B49)


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้