ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐระยะสั้นและระยะกลาง
1 ยีลด์พันธบัตร 10 ปีรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้นจาก 0.36% ในปี 2020 เป็น 4.28% ในปัจจุบัน หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 392 bps ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจึงอาจเกิดคำถามว่าแนวโน้มของยีลด์พันธบัตรจะเป็นอย่างไร ทั้งในภาพระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) และภาพระยะกลางที่ไกลออกไป
2 เรามองว่า ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนว่าราคาพันธบัตรมีโอกาสปรับตัวขึ้นใน 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจกำลังเคลื่อนตัวไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยพร้อมกับเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง (Disinflationary Bust) จากสัญญาณดังต่อไปนี้ (1) เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง (2) ความต้องการในสินค้าและบริการส่งสัญญาณชะลอตัว พิจารณาได้จาก ISM Manufacturing PMI และ Services PMI (3) การขยายตัวของเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกัน (uneven growth) และ (4) อัตราการว่างงานสูงขึ้น
ส่วนสาเหตุหลักที่จะนำไปสู่ Disinflationary Bust เกิดจาก: (1) ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง เนื่องจากเงินออมเหลือน้อย และหนี้เสียที่สูงขึ้น จากการ overspending มาก่อนหน้านี้ (2) Wage Growth และ CAPEX Growth มีแนวโน้มชะลอตัวลง (3) Monthly Supply ของบ้านใหม่เพิ่มขึ้นจาก 5.6 เดือนในช่วงปลายปี 2021 เป็น 9.3 เดือนในปัจจุบัน และ (4) การใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดติดต่อกันยาวนานของเฟด ทำให้เศรษฐกิจจะทรุดตัวมากกว่าที่คาด และจะทำให้เฟดต้องลดดอกเบี้ยลงในอนาคตอันใกล้นี้
3 จากปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้พันธบัตรมีโอกาสกลับมา outperform ตลาดหุ้นโลกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า โดยมองเป้าหมายยีลด์พันธบัตรสหรัฐ 10 ปีไว้ที่ 3.2% ภายในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
4 อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพที่ไกลออกไปนั้น เราไม่คิดว่า bond yield จะปรับตัวลงมาจนเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยระดับ 0.57% ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างปี 2009-2019 ได้อีก หรืออย่างน้อยในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ เนื่องจาก Neutral Rate (R*) หรือระดับดอกเบี้ยสมดุลที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวหรือหดตัวนั้น จะยังไม่สามารถลงไปที่ระดับ 0.5%-1% เหมือนกับช่วง Post-GFC ปี 2009 ถึง Pre-Covid ปี 2019 ได้ จากเหตุผลดังต่อไปนี้ (1) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกจากการย้ายฐานการผลิต (Reshoring และ Friendshoring) จะทำให้เงินเฟ้อจะยังไม่ลงมาอยู่ในระดับต่ำเหมือนช่วง pre-Covid (2) นโยบายทางการคลังแบบขาดดุลมากติดต่อกันเป็นเวลานาน และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ R* สูงขึ้น และ (3) เงินออมในปัจจุบันได้ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำมาก
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่คิดว่ายีลด์พันธบัตร 10 ปีรัฐบาลสหรัฐ จะกลับลงมาเทรดที่ระดับต่ำกว่าโซน 2% ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในวงจรการลดดอกเบี้ยปี 2019
สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ยังคงลงต่อ แต่แรงกดดันวานนี้มาจาก EA (หลังเปิดเทรด) ตามด้วยพลังงาน PTT PTTEP GULF และกลุ่มอื่นๆ อย่าง BTS AOT ADVANC BH CRC สำหรับหุ้นบวกดันตลาดไว้ DELTA BBL KBANK (ควงคู่รีบาวน์) BTG (ปรับเพิ่มคาดการณ์งบฯ) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
Rebound
คาดวันนี้ดัชนีฯรีบาวด์สั้น หลังฝุ่นจาง จากข่าวลบหุ้น “EA” แต่การฟื้นตัวของดัชนียังจำกัด ส่วนราคาหุ้นรายตัว คงคาดยังมีให้เลือกเล่นเป็นรายหุ้น...
แม้ระยะสั้นการฟื้นตัวของหุ้นบางกลุ่มยังจำกัด เช่น หุ้นธนาคารนอกเหนือจาก เคส EA แล้วยังกังวล-อาจตกเป็นผู้ช่วยรับภาระจากมาตรการลดภาระหนี้ครัวเรือนเหมือนครั้งก่อนที่ถูกขอให้ช่วยลดดอกเบี้ยลูกหนี้
แต่จะเห็นกลุ่มอื่นๆ ที่คาดเม็ดเงินหมุนเข้าดันราคาหุ้นขึ้นได้ (Rotation) เช่นเมื่อวานมี ส่งออก อิเล็กทรอนิกส์ โรงกลั่น ฯลฯ วันนี้กลุ่มเด่นคาด สื่อสาร (ดีลควบรวม GULF+INTUCH อินทัชจะเตรียมจ่ายปันผลพิเศษ 4.5 บาทต่อหุ้น และมีการเทนเดอร์ฯ ADVANC ที่ราคา 216.3 บาท THCOM 11 บาท ไม่ใช่เพื่อการเพิกถอน) รับเหมา CK BEM (เซ็นสร้างสายสีส้ม)
ส่วนหุ้นรายตัวที่เราแนะเลือกเล่นในระหว่างตลาดพักฐานเพื่อรอขึ้นต่อ เราคงคำแนะนำ พิจารณาตามแนวโน้มงบการเงินที่กำลังทำ “Previews” คาดการณ์กำไรไตรมาส 2 เป็นหลัก ตามมุมมองกลยุทธ์ประจำสัปดาห์ที่เรา เห็นสัญญาณบวกจากหุ้นตัวก่อนๆที่มีการ preview งบดีเกินคาด...
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว เริ่มโฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET หักดิบ! ไม่ผ่านโซน 38.2% (Fibonacci retracement) ภายหลังปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 40 จุด ( low 1,390 – high 1,330) หุ้นฉุดดัชนีเปลี่ยนหน้าค่าตาเป็นกลุ่มพลังาน PTTEP & PTT ปรับตัว -2% ฉุดตลาดลง 2.8 จุดโดยประมาณ ขณะที่ EA ถึงแม้ลงแรง -30% แต่มีผลต่อดัชนีเพียงแค่ -1.1 จุดแค่นั้น แนวโน้มตลาดยังคงคาดว่ายังอยู่ในเส้นทาง recovery ยังไม่จบรอบฟื้นตัว (SET ขึ้นเยอะลงน้อยกว่า) แนวรับ 1,310-1,320 จุด สู้ได้...โดยมีเป้าหมายรายเดือน base case อยู่ที่ 1,340 จุด....
Note: หัวแผนแก้เกมส์หุ้นแบงค์ได้ผล & แผนเทรดหุ้นธีม “Digital wallet” ลุ้นไปต่อ ยังไม่พอแค่นี้ (อ่านต่อหน้า 12)
What to watch
ไทม์ไลน์คดี การเมือง: ศาลฯนัดพิจารณาประชุมคดีถอดถอนนายก ครั้งต่อไป 24 ก.ค.
ครม.เศรษฐกิจ หาแนวทาง แก้หนี้ครัวเรือน เบื้องต้นมีแววให้กลับมาจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ 5% และยังต้องตามมาตรการนอกกรอบ ที่นายกส่งสัญญาณ, นายกฯแถลงความคืบหน้าดิจิตอลวอลเล็ต 24 ก.ค. คาดเริ่มลงทะเบียน 1 ส.ค.นี้
งบการเงินกลุ่มธนาคาร พฤ. นี้ BBL และที่เหลือออกวันศุกร์นี้
ครม.เห็นชอบ งานประมูลสายสีส้ม ครม. ไฟเขียว BEM ดำเนินโครงการหลังคดีสิ้นสุดในชั้นศาล เบื้องต้นจะนัดเซ็นสัญญา 18 ก.ค.นี้, และ ครม.เห็นชอบ โครงการหวยเกษียณ มีลุ้นรางวัลทุกวันศุกร์ คาดเริ่ม ต้นปี 68
บลจ.ปิดบางกองฯที่เชื่อมโยงลงทุน ตราสารหนี้ EA คาดผลกระทบจากเคส EA จะเริ่มเจือจางลง
ข่าวเหตุฆาตกรรมชาวต่างชาติที่ รร.ในกลุ่ม ERW คาดกระทบระยะสั้นจากการสูญเสียรายได้ เพราะต้องปิดบางโซนเพื่อตรวจสอบเหตุฆาตกรรม
อดีต ปธน.ทรัมป์ รอดจากเหตุการณ์ลอบสังหารได้กลายเป็นสัญญาณบวกต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯที่อาจจะเกิดภาวะ แลนด์สไลด์เข้าทาง อดีต ปธน.ทรัมป์
หุ้นแนะนำวันนี้
CK คาด Backlog เพิ่มจากการเซ็นสร้าง รฟฟ.สายสีส้ม (S 19.6 R 20.5 SL 19.5)
รายงานพื้นฐานวันนี้
Thai Market Strategy
คาดการณ์กำไร 2Q-3Q24 เติบโต YoY
เราคาดกำไรสุทธิ 2Q24 ในภาพรวม เติบโต 27% YoY และ 2% QoQ นอกจากเศรษฐกิจในประเทศยังเติบโตต่อ ยังได้ Inventory gain ของกลุ่มน้ำมัน บวกกับราคาเนื้อสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฟื้น หนุนกำไร
ถ้าหากไม่รวมรายการพิเศษ และไม่รวมกลุ่มพลังงาน/ปิโตรฯ กำไรหลักของกลุ่มที่เหลือคาดออกมาเติบโต 11% YoY และ 4% QoQ แบ่งออกเป็น
1) กลุ่มที่น่าจะเห็นกำไรหลักเติบโตเด่น YoY ได้แก่ 1) กลุ่มอาหาร/เครื่องดื่ม (ราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวขึ้น, demand เครื่องดื่มทั้ง functional และ energy drinks รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงยังโตดี), 2) กลุ่ม ICT (ดีขึ้นทั้งจากรายได้มือถือและบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน), 3) กลุ่มขนส่งสาธารณะ (traffic ที่เพิ่มขึ้น, 4) กลุ่มโรงไฟฟ้า (ราคาต้นทุนแก๊ส/ถ่านหินของกลุ่ม SPP ลดลง และมีกำลังผลิตใหม่ของกลุ่ม IPP), 5) กลุ่มนิคมฯ (ยอดโอนเพิ่มขึ้น, ราคาขายที่ดินเพิ่มขึ้น)
2) กลุ่มที่กำไรน่าจะยังอ่อนแอ ยังคงเป็นกลุ่มยานยนต์และอสังหาฯ
3) กลุ่มที่ยังต้องระมัดระวัง คือ กลุ่มการเงินจากความเสี่ยงหนี้เสียที่อาจเพิ่มขึ้นต่อ (อาจจะยังไม่จบ)
ส่วนหากแยกออกมาเป็นรายหุ้นที่กำไรคาดโตเด่นแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม COCOCO, OSP, ITC กลุ่มนิคม AMATA กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ KCE กลุ่มค้าปลีก CPALL และกลุ่ม ICT ADVANC, INTUCH
สำหรับ Highlight เจาะลึกลงไป หุ้น 7 บริษัท ที่มี Outlook กำไรที่ดี คือ 1) กำไร 2Q24 จะเติบโตดี 2) มีแนวโน้มเติบโตต่อใน 3Q24 3) อยู่ในอุตสาหกรรมที่คาดเห็นกำไรเติบโตดี 4) กำไร/รายได้ไตรมาสก่อนไม่ต่ำคาด 5) เห็น Momentum การปรับประมาณการณ์กำไร/รายได้ขึ้นในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา และ 6) Valuations ยังมี upside ได้แก่ ITC COCOCO OSP CPALL ADVANC INTUCH BH
GULF
กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์
ร่วมร่างยักษ์พลังงานและโทรคมนาคม
เมื่อวาน GULF-INTUCH ประกาศการควบบริษัทเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้น เรามอง “บวก” ต่อหุ้นทั้ง 2 บริษัท โดยมีประเด็น Highlights ดังนี้
1) การขอที่ประชุมวิสามัญ โหวตการรวมกิจการ วันที่ 3 ต.ค. และตั้งเป็น NewCo จดทะเบียน 1.45 หมื่นล้านหุ้น โดยจะแลกหุ้น 1 หุ้น GULF เป็น 1.03 หุ้น NewCo และ 1 หุ้น INTUCH เป็น 1.70 หุ้น NewCo (ไม่รวมที่ GULF ถือ INTUCH)
2) หากเป็นไปตามเงื่อนไข INTUCH จะจ่ายปันผลพิเศษ 4.50 บาท
3) การเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ ADVANC และ THCOM แบบสมัครใจ (VTO) ที่ราคา 216.30 บาท และ 11 บาท ตามลำดับ
4) เราคาดมูลค่าตลาดของ NewCo จะอยู่ที่ 6.35 แสนล้านบาท ประกอบด้วย GULF 3.70 แสนล้านบาท และ INTUCH 2.65 แสนล้านบาท คิดเป็นราคาหุ้น NewCo ที่ 42.50 บาท (อิงตามราคาหุ้นและ Conversion ratio ที่ประกาศ) โดย GULF และ INTUCH ควรจะมีราคาที่ 43.75 และ 72 บาท ตามลำดับ
5) โครงสร้างหลักการรวมฯ จะพบว่าผู้ถือหุ้นหลักของ GULF รวมทั้งคุณสารัชถ์ จะถือหุ้น 59.72% (เดิมถือ GULF 73.84%) และ Sintel จะถือบน NewCo ที่ 9.08% ส่วนรายอื่นๆ ถือ NewCo 31.20%
6) มุมมองของเรา: เราประเมินราคาเป้าหมายของ NewCo ที่ 65.30 บาท (อิงจากเป้าหมายของ GULF และ INTUCH ในปัจจุบัน) โดย EPS ปี 2024-26 คาดเติบโตเฉลี่ย 11.2% CAGR และมองบวกต่อพัฒนาการนี้ (1) GULF ได้เข้าควบคุม ADVANC แบบไม่ต้องใช้เงินเพิ่ม (2) ภาพรวม Gearing ratio จะดีขึ้นในระยะยาว (3) ความร่วมมือของ GULF-Singtel จะแกร่งขึ้น
CRC
เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น
ไทวัสดุ จะเป็นส่วนสร้างการเติบโตใหม่ให้ CRC
สัปดาห์ที่ผ่านมาเราไป Site Visit ที่ไทวัสดุกับ CRC โดยรวมมองภาพกลยุทธ์ CRC ที่ชัดขึ้น จากมีความคาดหวังต่อกลุ่มค้าวัสดุซ่อมแซมบ้านได้ โดยหลังจากการปรับเป็น Hybrid format (ไทวัสดุ x BnB Home) หรือ Whit format (จาก Red) พบว่ามีสาขาที่ยอดขายเติบโต 20-30% และผู้บริหารก็มีความมั่นใจว่าจะเป็นส่วนช่วยในการเติบโตของ CRC โดยตั้งเป้าหมายจะขยายไปทุกจังหวัด (ปัจจุบันมี 90 สาขา และอยู่ใน 47 จังหวัด) หรือเพิ่มขึ้น 7-8 สาขา/ปี ในช่วง 5 ปี คิดเป็นการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 12% CAGR เป็น Upside จากประมาณการกำไรเราที่คาดเพียง 5% CAGR อย่างไรก็ตาม การแข่งขัน ก็ยังคงเป็นประเด็นความเสี่ยงหลัก แต่เชื่อว่าไทวัสดุจะยังโดดเด่นบนตำแหน่งตลาดของตนเองได้
ทั้งนี้ เราคาดการณ์กำไรหลักของ CRC ใน 2Q24 ที่ 1,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% YoY แต่ลดลง 27% QoQ โดยให้สมมติฐาน SSS ลดลง 1.5% YoY กดดันจากแฟชั่นเป็นหลัก และ GM ที่ 26.5% ลดลง YoY ตาม Product mix แต่จะเห็นการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นมาทดแทน
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำซื้อ มอง CRC กำลังจะกลับเข้าสู่ช่วงของการเติบโตใน 2H24
HANA
ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส
ฟื้นตัวใน 2Q24
เราประเมินกำไรหลัก 2Q24 ที่ 530 ล้านบาท ลดลง 30% YoY แต่ฟื้นตัว 50% QoQ โดยคาดรายได้ ฟื้นตัว 4% QoQ แต่ลดลง 7% YoY ปัจจัยหนุนหลักสำหรับการฟื้นตัว QoQ น่าจะมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัว
หลังจากเราได้วิเคราะห์มุมมองของทั้งลูกค้าและคู่แข่งในกลุ่ม OSAT และ EMS น่าจะเห็นการฟื้นตัวหลักๆจาก 2H24 หนุนโดยการเติมสต๊อคของลูกค้า ในด้านของประเภทอุตสาหกรรมคาดกลุ่มยานยนต์ยังทรงๆ กลุ่มอุตสาหกรรมยังอ่อนแอ แต่กลุ่มมือถือน่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 55 บาท
SNNP
ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง
ขอพักก่อน แล้วค่อยกลับมาเจอกันใหม่
เราคาดกำไรหลัก 2Q24 ที่ 163.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% YoY และ 3.8% QoQ ถือว่าต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้เดิมราวเล็กน้อย และยังไม่ได้เห็นสัญญาณการกลับมาเติบโตที่ตื่นเต้น โดยเป็นการเติบโตต่ำจากทั้งยอดขายในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามที่เคยคาดหวังการกลับมาเป็นตัวหนุน ก็น่าจะเพียงทรงตัว YoY, QoQ ส่วนในประเทศตลาด Traditional trade ยังอ่อนแอตามภาพเศรษฐกิจ และทำให้ต้องไปเร่งยอดขายฝั่ง Modern trade มาชดเชยสำหรับอัตรากำไรขั้นต้น (GM) คาดที่ 28.5% ลดลงจาก 29.5% ใน 1Q24 (ตามฤดูกาล) แนวโน้ม 3Q24 คาดกำไรอาจจะเพียงทรงตัว YoY, QoQ โดยการเติบโต Double Digit อย่างเร็วต้อง 4Q24 เป็นต้นไป หลังมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและลงสู่ฐานราก
เราประมาณการกำไรปี 2024-26 ลง 8% โดยปี 2024 กำไรหลักใหม่คาดที่ 673 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 6% YoY สอดคล้องกับรายได้ที่คาดเติบโต 5% YoY โดยคาด GM ที่เพิ่ม จะช่วยกลบผลของ SG&A/sales ratio ที่สูงขึ้น
Fundamental view: ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการปรับ Coverage หุ้นใหม่ในทีม เพื่อคัดสรรหุ้นที่มี Growth Story น่าสนใจใหม่ๆ ให้นักลงทุน ขณะที่สถานการณ์ของ SNNP ปัจจุบัน จะยังเป็นการเติบโตต่ำไปอีกระยะ ทำให้แรงดึงดูดเพื่อเล่นรีบาวน์น้อยลงไป แม้ PER จะอยู่ที่ 18 เท่า หรือต่ำกว่าเฉลี่ยระยะยาว 26 เท่าแล้วก็ตาม เราจึงขอ Drop Coverage ไปก่อน เพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ในส่วนนักลงทุนที่ต้องการถือลงทุนยาว เราจะมีการออก Visit Note อัปเดทข้อมูลให้เป็นระยะๆ
สรุปประเด็นจาก Quick take
Global Macro Update
เศรษฐกิจจีนชะลอจากภาคอสังหาและการบริโภค
เศรษฐกิจจีนใน 2Q24 เติบโต 4.7% YoY ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.1% และลดลงจาก 5.3% ใน 1Q23 ซึ่งเป็นการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดตั้งแต่ 1Q23 โดยหลักมาจากการชะลอตัวของอสังหาริมทรัพย์ (แม้ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอสังหาฯ แต่ก็ไม่เพียงพอ ซึ่งการลงทุนในภาคอสังหาฯของจีนล่าสุดต่ำกว่าคาด) และการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ สังเกตจากยอดค้าปลีกที่เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง (เฉลี่ย 2.7% YoY ใน 2Q24 เทียบกับ 3.6% ใน 1Q24) อย่างไรก็ตามในด้านการส่งออกสินค้ายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 2Q24 ที่ 5.9% YoY (เทียบ 1.4% YoY ใน 1Q24) หนุนให้ผลผลิตอุตสาหกรรมยังเติบโตดี
SPRC
สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง
แจ้งการกลับมาดำเนินการใช้งานทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM)
SPRC แจ้งการกลับมาดำเนินการใช้งานทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM)
View From Fundamental: ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น positive sentiment ต่อราคาหุ้น นอกจากนี้ SPRC น่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากช่วงไฮซีซั่นของอุปสงค์ก๊าซโซลีนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐ มูลค่าหุ้นซึ่งซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 2024 ที่ 0.8 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.4 เท่าอยู่ 1.9SD) ที่ยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” (ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท)
BEM & CK
ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพและช.การช่าง
ครม.เห็นชอบผลการคัดเลือก BEM ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม
วันที่ 16 ก.ค. 2024 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาผลการคัดเลือกเอกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ที่ BEM เป็นผู้ชนะการประมูล และปัจจุบันศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำพิพากษาจนได้ข้อยุติทุกคดีแล้ว
View From Fundamental: ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็น positive sentiment ต่อราคาหุ้น BEM และ CK เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ต่อ BEM (ราคาเป้าหมาย 12.40 บาท) และ CK (ราคาเป้าหมาย 26 บาท)
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน