Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

593

 


"Peaking Yield Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ผันผวน" ต้าน 1340/1345 จุด รับ 1320/1315 จุด ดัชนี S&P500 วันศุกร์ปิด +0.55% หุ้นเทคฯนำ ตอบรับ US Bond Yield ที่ชะลอลต่อเนื่อง ขณะที่สุดสัปดาห์เกิดเหตุลอบสังหารคุณ Trump ผู้สมัคร ปธน. จากพรรครีพับริกัน เป็นจิตวิทยาลบต่อการลงทุนระยะสั้น แต่ผลต่อเศรษฐกิจหลักจำกัด สะท้อนจาก Dow Jones Futures เช้านี้เป็นภาพเพียงลดช่วงบวกลงเหลือบางๆ ส่วนภายใน กรณี ก.ล.ต.กล่าวโทษผู้บริหาร EA กระทบความเชื่อมั่นการดำเนินธุรกิจ ล่าสุดบริษัทมีการปรับโครงสร้างบริหารใหม่ทันที และมีแถลงการณ์วันนี้ ระยะสั้นเป็นลบต่อกลุ่มธนาคาร (EA มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน 3.1 หมื่นล้านบาท) ขณะที่ EA มีหุ้นกู้ 3.2 หมื่นล้านบาท กำหนดชำระระยะสั้น 1.5 และ 4.0 พันล้านบาท ส.ค. และ ก.ย. ซึ่งระยะสั้นก้อนแรก EA ยังมีเงินสดในมือ 2.9 พันล้านบาท ขณะที่ ก.ล.ต. กล่าวโทษ EA 3.4 พันล้านบาท น่าจะกระทบน้อยกว่ากรณี STARK ตกแต่งบัญชี 2.1 หมื่นล้านบาท และมูลค่าสินทรัพย์ EA และ STARK ที่ 1.12 แสนล้านบาท และ 4.7 หมื่นล้านบาท ทำให้ผลกระทบจำกัดกว่ากรณีแรก ระยะสั้น SET ผันผวน น่าจะสร้างโอกาสต่อหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้ เน้นกลุ่ม Peaking Yield หนุน(โรงไฟฟ้า, สื่อสาร, ชิ้นส่วนฯ) แนะ ADVANC, GULF, KCE เด่น

 

Daily outlook: "ผันผวน" ต้าน 1340/1345 จุด รับ 1320/1315 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์พลิกบวกอีกครั้ง Dow jones + 0.62%, S&P500 +0.55%, Nasdaq 0.62% โดยดัชนี S&P Sector กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม consumer Discretionary, Materials, IT ฯลฯ Sector ที่ปรับลงมีเพียง ICT โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆ คือ NVDIA +1.45%, Tesla +2.99%, Ford Motor +4.1%, Wellfargo&Co -5.97% ระบรายงานงบออกมาชะลอ NII ลดลงและยังหดตัว y-y)

•(*) US Econ : ดัชนีราคาฝั่งผู้ผลิต(PPI) Headlineและ Core PPI โดย Headline PPI ปรับขึ้นแตะระดับ 2.6%y-y จาก 2.4%y-y ในเดือน พ.ค. สวนทางกับ Consensus คาดว่าจะลดลง 2.3% (+0.2%m-m Vs Cons. +0.1%m-m) เช่นเดียวกับ Core PPI ปรับขึ้นแตะ 3% จาก 2.6% ในเดือน พ.ค. สวนทางกับ Consensus คาดว่าจะลดลงเป็น 2.5%(+0.4%m-m Vs Consensus +0.2%m-m) หลักๆมาจากต้นทุนค่าบริการ +0.6%m-m ในขณะที่ต้นทุนค่าสินค้า -0.5%m-m ที่ส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลง ตัวเลข PPI ปรับขึ้นสวนทางกับ CPI ที่ปรับลงสะท้อน ต้นทุนของผู้ผลิตเพิ่มขึ้นแต่ไม่สามารถผลักภาระให้กับผู้ซื้อปัจจัยนี้อาจจะกดดันกำไรของผู้ประกอบการในอนาคต การจ้างงานจะลดลง และสุดท้ายจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เบื้องต้นปัจจัยนี้จะกดดันให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นจะยังส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้น 2.)ความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Michigan University ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน 3.)คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาวลดลง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ที่ 2.9% และช่วง 5 ถึง 10 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 2.9%

•(-) US Politic: สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุรอบสังหารอดีตประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ในขณะขึ้นเวทีหาเสียงที่เมือง บัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐ KSS มองเป็นลบกับประเด็นนี้เนื่องจากเหตุการณ์รอบสังหารที่เกิดขึ้นจะสร้างความกังวลให้กับตลาดเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมืองและความปลอดภัยในสหรัฐซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ระยะสั้นอาจเห็นนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น และเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง (Safe haven)เช่น เงินดอลลาร์, พันธบัตร และ ทองคำ และตลาดประเมินว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเพิ่มคะแนนนิยม (คะแนนสงสาร)ให้กับ โดนัล ทรัมป์ และมีโอกาสชนะในการลงเลือกตั้ง ปธน. ในเดือน พ.ย.นี้ กระแสคาดการณ์ดังกล่าวจะหนุนให้มีแรงเก็งกำไรสินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายของทรัมป์ เช่น Bitcoin

• (*/+) China Econ : ยอดส่งออกจีน เดือน มิ.ย. +8.6%y-y ดีกว่าตลาดคาดที่ 8% (บวก 3 เดือนติดต่อกัน) สะท้อนภาคเศรษฐกิจทั้งภาคส่งออกขยายตัวดีเป็น Upside ต่อ GDP ส่วนฝั่งนำเข้าพลิกลบ 2.3%y-y แย่กว่าตลาดคาด 2.8% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงจีน อาทิ SCGP , DOHOME, STA,NER ฯลฯ

• (*/+) EU ยอดขายตั๋วงานโอลิมปิค ฝรั่งเศสที่ 8.6 ล้านใบ สูงสุดตั้งแต่ปี 1996 บ่งชี้กระแสความคึกคักภาคบริการฝรั่งเศสที่กำลังจะเกิดขึ้น ผสาน ราคาก๊าซยุโรป MTD -11.3% 2) การเมืองยุโรปมีความชัดเจนแล้ว KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงยุโรป อาทิ XO(70%ของรายได้รวม), MINT(50%) SHR(40%), IVL (22%) CRC(6%) เน้น MINT ดการณ์กำไร MINT งวด 2Q24F ต่อเนื่อง 3Q24F เด่นตามฤดูกาล

• (*) To monitor : ฝั่งจีน 15 ก.ค. ติดตาม GDP 2Q24 ตลาดคาด +5.0%y-y vs prev. +5.3%y-y 15-18 ก.ค. ติดตามการประชุม Politburo ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฝั่งยุโรป 18 ก.ค. ติดตามการประชุม ECB คาดยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม ฝั่งสหรัฐ 16 ก.ค. ยอดค้าปลีก มิ.ย. ตลาดคาด -0.2%m-m vs prev. +0.1%m-m, 17 ก.ค. ยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม มิ.ย. ตลาดคาด +0.3%m-m vs prev. +0.9%m-m

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับลงและทำ new low รับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐชะลอและดีกว่าคาด อิง อายุ 2 ปี ปรับลงแรงราว -3 bps ที่ 4.481% (ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน) และอายุ 10 ปี -2 bps ปิด 4.18% (ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF กลุ่มการเงิน MTC, กลุ่ม ICT เน้น TRUE กลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT ส่วน Dollar Index ระยะสั้นอ่อนค่าแรง ล่าสุดบริเวณ 103.7+/- จุด (ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน)

•(*) Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.18%d-d ปิดที่ US$ 85.18/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.50%d-d ปิดที่ US$ 82.21/barrel

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index ปรับตัวขึ้น +2.67 จุด หรือ +0.2% ปิดที่ 1332 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTTEP, TOP) หนุนจากภาพบวกตลาดคาดหวัง Fed ปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หนุน US Bond Yield อ่อนลง เงินบาทแข็งค่า รวมถึงความคาดหวังผลบวกต่อราคาพลังงาน กลุ่มอสังหาฯ (AP, LH) เป็นกลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีคที่ยัง Laggard กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, KCE) ถ่วงจากจิตวิทยาลบภาพ Sector Rotation ออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯไปยังกลุ่ม Laggard กลุ่มก่อสร้าง (SCC) มองตลาดลดความเสี่ยงก่อนช่วง Preview กำไร 2Q24F หลังภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่เป็นธุรกิจรองยังฉุดรั้ง

• (*/+) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ซื้อหุ้น 0.39 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร 111.3 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 34,993 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยสู่ 36.1 +/- บาท

• (-) EA: กรณีนายสมโภชน์ อาหุนัย และ นายอมร ทรัพย์ทวีกุล ผู้บริหาร EA ถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษ กรณีร่วมกระทำการทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์-โปรแกรมซอฟต์แวร์ ได้รับผลประโยชน์รวม 3,466 ล้านบาททำให้ EA และบริษัทย่อยเสียหายมองผลกระทบต่อบริษัท ทั้งความเชื่อมั่นบรรษัทภิบาลของหุ้น ซึ่งมีโอกาสกระทบกองทุนที่ถือหุ้นใน EA อย่างไรก็ดี หุ้น EA ที่ YTD -70.4% แล้ว รวมถึงหุ้นในกลุ่มเดียวกัน NEX (EA ถือหุ้น 33.1%) BYD (EA ถือหุ้น 19.6%) ที่ -60.4% และ -84.6% และปัจจุบันมีสัดส่วนรวมกันในตลาดราว 0.37% ของมูลค่าตลาด ทำให้เรามองผลกระทบความผันผวนหุ้นจำกัด ทั้งนี้ ในผู้ถือหุ้นใหญ่ 17อันดับแรกของ EA, NEX และ BYD อิงวันที่มีการปิดสมุดล่าสุดจาก www.settrade.com ไม่ปรากฏชื่อผู้ถือหุ้นประเภทกองทุนรวม

อย่างไรก็ตาม จุดน่ามีผลกระทบเชิงลบ คือ สิ่งที่เกี่ยวโยงกับเจ้าหนี้ทั้งฝั่งเงินกู้และหุ้นกู้ โดยปัจจุบัน EA มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยราว 6.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น

1) เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน 3.1 หมื่นล้านบาท จากการตรวจสอบกับธนาคารต่างๆ พบว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องแทบทั้งหมด ยกเว้น KTB ที่ปฏิเสธชัดเจน ประเด็นนี้มีความเป็นไปได้ที่สถาบันการเงินจะตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเป็นค่าใช้จ่ายกดดันกำไรสุทธิในงบการเงิน ประเมินน่าจะเป็น Overhang กลุ่มธนาคารถึงงวด 3Q24F (ออกงบต้น พ.ย.)

2) หุ้นกู้ 3.2 หมื่นล้านบาท ใกล้ครบกำหนดชำระ 1,500 ล้านบาท เดือน ส.ค. และ 4,000 ล้านบาทในเดือน ก.ย. บริษัทเตรียมออกขายหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อ Roll over ในช่วง 23-25 ก.ค. นี้ คดีที่เกิดขึ้นกระทบความเชื่อมั่นทำให้หุ้นกู้ขายได้น้อยกว่าเป้าเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ในอนาคต จะกระทบสภาพคล่องในตลาด นอกจากนี้ ระยะถัดไปมีโแกาสเกิดความเสี่ยงที่การออกหรือ Rollover หุ้นกู้ บจ. ตลาดที่ยากขึ้น จิตวิทยาลบหุ้นในกลุ่มหนี้สูง

3) ระดับความเชื่อมั่นต่อการกำกับดูแลตลาด ที่เป็นจิตวิทยาลบต่อภาพรวมตลาด

4) ผลกระทบจากการเรียกคืนสภาพคล่องบริษัทในกลุ่ม BYD จะกระทบต่อธุรกิจ Margin loan (*อาจส่งผลให้หลักทรัพย์ที่วางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นผันผวนได้หากมีการบังคับขายหรือ Force sell เกิดขึ้น) อิงงบการเงิน BYD สิ้นสุด 1Q24 มีลูกหนี้หลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้งสิ้น 929.4 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบัน BYD ถือเป็นบริษัทที่มีฐานทุนสูง 1.17 หมื่นล้านบาท

• (*/+) Utilities: กกพ. เปิดรับฟังความเห็น 3 กรณีขึ้นค่า Ft ช่วง 0.47-1.83 บาทต่อหน่วย ดันค่าไฟงวดใหม่เพิ่มเป็น 4.65-6.01 บาท/หน่วย สำหรับค่าไฟรอบ ก.ย. - ธ.ค. 24 โดยค่าไฟที่เพิ่มส่วนหนึ่งจะเป็นการนำไปชำระคืนหนี้ EGAT ซึ่งเป็นผู้รับภาระแทนบางส่วนในช่วงที่ต้นทุนค่าพลังงานเร่งตัว ทั้งนี้ จะเปิดรับฟังความเห็นถึง 26 ก.ค. นี้

นักวิเคราะห์พื้นฐาน KSS ประเมินเป็นไปได้ที่จะเป็นกรณีค่า Ft จะมีการปรับเพิ่มขึ้น 0.47 บาท (ต้องรอความเห็นทางภาครัฐฯอีกครั้ง หลังสิ้นสุดช่วง Hearing) ดีกว่ากระแสข่าวช่วงก่อนหน้าที่คาดปรับเพิ่ม 0.2-0.4 บาท โดยกรณีปรับเพิ่ม 0.47 บาท จะทำให้การใช้หนี้ EGAT ที่อยู่ที่ 9.8 หมื่นล้านบาทหมดภายใน 2 ปี เรามองบวกต่อกลุ่ม SPPs (BGRIM, GPSC, GULF) และกลุ่มนิคมที่มีธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจรอง (ROJNA, WHA, AMATA) หากมีการปรับขึ้นค่า Ft ตามกรณีที่เรามองเป็นไปได้จะทำให้มี earnings upside ในปี 2024 เชิงกลยุทธ์ เรามองแรงหนุนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มเติมต่อเนื่อง เสริมภาพผลบวก US Bond Yield และ TH Bond Yield ที่ปรับตัวลงแบบเร่ง ขณะที่กลุ่มนิคมที่มีโรงไฟฟ้าถือเป็นปจจัยบวกธุรกิจรองเพิ่มเติม ระยะสั้นเน้น GPSC, GULF, WHA

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วานนี้ 404 บริษัท) พบว่า ส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม ขณะที่กลุ่มถูก Short ลดลงเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 258 บริษัท (วานนี้ 287 บริษัท) กลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 99 บริษัท (วานนี้ 56 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 46 บริษัท (วานนี้ 61 บริษัท) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET

• (*) To Monitor: 1.) 15 ก.ค. การประชุม ครม. เศรษฐกิจ หารือในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน 3.) 16 ก.ค. กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. พิจารณากองทุน ThaiESG หลักเกณฑ์ใหม่และกระทรวงคมนาคมเสนอ ครม. พิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 4.) 17 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล 4.) 15-19 ก.ค. กำไรงวด 2Q24 กลุ่มธนาคาร มองบ่งชี้ทิศทางแนวโน้มกำไรตลาดช่วง 2Q24 นอกจากนี้ แนะนำติดตามแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางกลุ่มเช่าซื้อที่กำลังกังวลต่อประเด็นดังกล่าวชัดเจนขึ้น 5.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)

 

 

Daily Strategy : ADVANC, GULF, KCE เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ผันผวน" มองตลาดช่วงเปิดตลาดมีโอกาสผันผวน จากจิตวิทยาลบฝั่งสหรัฐฯที่มีเหตุลอบสังหารคุณ Trump ผู้สมัครเลือกตั้งสหรัฐฯ และภายในที่มีกรณี ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้บริหาร EA อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯฝั่งมองจำกัด เนื่องจากคุณ Trump ยังเป็นเพียงผู้สมัครเลือกตั้ง ส่วนภายในประเด็นหลักอยู่ที่ EA ที่คาดกดดันกลุ่มธนาคารไปด้วย ระยะสั้นทำให้มองหุ้นเด่น กลุ่ม Defensive และกลุ่ม Peaking Yield หนุน

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, ICHI, SAPPE IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 


•SCC (Trading Buy, TP275): มอง Negative ต่อ SCC ที่การฟื้นตัวของ spread Polymers ที่ล่าช้ากว่าคาด จาก supply ใหม่ที่เข้าต่อเนื่อง และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนส่งให้ผู้ซื้อไม่ตุนสินค้า กดดันให้การ COD ของโครงการ LSP ล่าช้ากว่าคาดด้วย ซึ่งเรามองปัจจัยลบข้างต้นจะกลบปัจจัยบวกระยะสั้นจากแนวโน้มกำไร 2Q24F ที่ดีกว่าคาดจากฝั่ง PVC ที่อัตรากำไรดี (ทิศทางฟื้น q-q ไม่ได้ผิดไปจากคาด) ทั้งนี้เราปรับลดประมาณการกำไร 2024-26F ลงสะท้อนธุรกิจปิโตรเคมีที่แย่กว่าคาด พร้อมกับปรับ TP24F ลงเป็น 275 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ Trading Buy คงมุมมองจุดซื้อเก็งกำไรเป็นหลังโครงการ LSP กลับมา COD เพื่อรับการฟื้นใน 2025-26F หลัง supply ใหม่เข้ามาน้อยลง และ LSP หนุนปริมาณขาย

•TISCO (Neutal, TP95): เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1.75 พันลบ. ดีกว่าเราคาด เพราะเงินลงทุน (FVTPL) มากกว่าคาด แต่ตามตลาดคาด กำไรลดลง -6%y-y เพราะค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น จากคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +1%q-q เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ธรรมเนียม สำหรับสินเชื่อรวมลดลง -0.8% q-q คิดเป็น -0.6% YTD จากสินเชื่อรายย่อย ด้านคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอลงมาก โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย NPL Ratio อยู่ที่ 2.44% เพิ่มจาก 2.27% ใน 1Q24 ทั้งนี้เราคงมอง TISCO มีปันผลเด่น dividend yield คาดที่ 7-8% ต่อปี โดย 1H24F คาดจ่าย 2 บ./หุ้น ( yield 2%)

เรามีมุมมอง Neutral ต่อการประชุมนักวิเคราะห์ เพราะมีปัจจัยบวกและลบผสมกัน โดย TISCO มองว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินเริ่มช้าลง ซึ่ง 3Q24F มองว่าจะเป็นไตรมาสสุดท้ายที่มีแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงิน ทำให้ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มอยู่ที่ราว 2.5% เดิมราว 3.0% เทียบกับเราคาดที่ 2.7% อย่างไรก็ตามคุณภาพสินทรัพย์ยังน่ากังวล ทำให้ปรับค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) เพิ่มเป็นไม่เกิน 70bps. เดิม 50 bps. เทียบกับเราคาดที่ 55 bps. ทั้งนี้เราคงกำไรสุทธิ 2024F อยู่ที่ 6.72 พันลบ. หดตัว -8% y-y ภาพรวมเราคงมอง TISCO มีปันผลเด่น dividend yield คาดที่ 7-8% ต่อปี โดย 1H24F คาดจ่าย 2 บ./หุ้น ( yield 2%)

•MASTER (Buy, TP82): เรามีมุมมอง Neutral ต่อแนวโน้มผลประกอบการ 2Q24F ของ MASTER โดยคาดกำไรสุทธิที่ 121 ลบ. (+48%y-y และ +14%q-q) ปัจจัยหลักจากรายได้มากขึ้นตามการขยาย capacity และปัจจัยด้านฤดูกาล, margin ดีขึ้นจาก Utilization rate ที่สูงขึ้นและการลดค่าใช้จ่าย, รวมถึงเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก V-squre ซึ่งเราคงคำแนะนำ "Buy" ที่ TP24F เดิม 82 บาท และคงประมาณการกำไร 2024-26F จากแนวโน้มอุตสาหกรรมความงามที่เป็นขาขึ้นและผลประกอบการยังอยู่ในจุดเร่งตัว อีกทั้งในระยะกลางถึงยาวมีแผนขยายธุรกิจเชิงรุกมากที่สุดในกลุ่ม

•TU (Trading Buy, TP17.8): มุมมอง "Neutral" ต่อประเด็นที่ TU แจ้งตัดหุ้นซื้อคืนและลดทุน ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดไว้ก่อนหน้า โดยการลดทุนจดทะเบียนลง 200 ล้านหุ้น (พาร์ 0.25บ.) คิดเป็น 4.30% ของทุนจดทะเบียน ณ ปัจจุบัน จะทำให้ทุนชำระแล้วของ TU ลดลงเหลือ 4,455 ล้านหุ้น มูลค่า 1,113.78 ลบ. ส่งผลให้ EPS และราคาเป้าหมายปี 24F เพิ่มขึ้นราว +4.5% คงคำแนะนำ Trading buy ปรับใช้ TP24F ใหม่ที่ 17.80 บ.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

วันขาย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ขายเมื่อมีข่าวดี วันนี้ วันขาย ท่ามตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ตอบรับข่าวดี สหรัฐกับจีน ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้