Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

502

 

"Peaking Yield Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1335/1343 จุด รับ 1320/1315 จุด ดัชนี S&P500 ปรับลง -0.88% Sell on Facts หลังเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ วานนี้ ต่ำกว่าตลาดคาด Core CPI +3.3%y-y, +0.1%m-m เงินเฟ้อฝั่งภาคบริการ ที่อยู่อาศัย ที่หนืดในช่วงก่อนเริ่มชะลอลง ทำให้ US Bond Yield 10ปี -8 bps สู่ 4.2% ต่ำสุดใน 1 เดือน ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีภาพ Flow Switching ระยะสั้น จากกลุ่มเทคโนโลยีที่ Outperform ไปกลุ่ม Laggard อาทิ กลุ่มอสังหา, กลุ่มสาธารณูปโภค,หุ้นขนาดกลาง-เล็ก (ดัชนี Russell 2000 +3.6%) รวมถึง ETF MSCI ไทย +0.77% ภาวะดังกล่าวหนุนภาพ "Search for Yield" ชัดเจนขึ้น ซึ่งเรามอง SET มีโอกาสเป็นเป้าหมาย ในฐานะที่ปี 2024 ยัง Underperform โลก -6.1% ขณะที่ Equity Risk Premium ทั้ง Current และ Forward ใกล้เคียง Avg. + 1 S.D. ที่ 4.06% vs ตลาดหุ้นหลักของโลก อาทิ สหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย < Avg. ผสาน เงินบาทแข็งค่าสู่ 36 บาท มอง SET ฟื้นต่อ หุ้นนำ ยังมองกลุ่มที่ได้ประโยชน์ Yield พีค ในฝั่งที่ยัง Laggard อาทิ โรงไฟฟ้า อสังหา เช่าซื้อ รวมถึงกลุ่มอิงภายในฝั่งภาคบริการ วันนี้แนะ GULF, CPALL, CPAXT เด่น

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1335/1340 จุด รับ 1320/1315 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ ชะลอการขึ้นและหุ้น Tech และ High Growth ที่ขึ้นมาต่อเนื่องช่วงก่อน โดน take profit หลังจากขึ้นมาช่วงก่อนหน้า หลังเงินเฟ้อออกมาต่ำคาด Dow jones 0.08% ,S&P500 -0.88% , Nasdaq -1.92% โดยดัชนี S&P Sector กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Real estate, Utilities, Materials, Industrial ฯลฯ Sector ที่ปรับลงแรงคือ IT, ICT ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆ คือ Tesla -8.5% รับข่าวบริษัทประกาศเลื่อนการเปิดตัว Robotaxi จากเดือน ส.ค. เป็นเดือน ต.ค., NVDIA -5.5%, Micron และ Qualcom -4% AMD -1.1% เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกสืไทย

•(*/+) US Econ : 1.)เงินเฟ้อสหรัฐออกมาชะลอลง (CPI) เดือน มิ.ย. ที่ -0.1%m-m , +3.0%y-y ต่ำกว่าคาดหรือดีกว่าคาดที่ +0.1%m-m, +3.1% y-y ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน(Core CPI) รายงานที่ +0.1%m-m, +3.3%y-y ต่ำกว่าคาดที่ +0.2%m-m, +3.4%y-y (โดย Key ที่ตลาดให้น้ำหนักคือ 1.)หมวดค่าที่อยู่อาศัย (shelter) +0.2%น้อยกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 0.4%. 2.)Core services ex. shelter -0.05% 3.) หมวดรถมือ 1 และรถมือ 2 ยังติดลบต่อเนือง 2.) ตลาดแรงงาน อิงรายงาน ยอดขอรบสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) +2.22 แสนรายมากกว่าคาดที่ 2.36 แสนราย (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์) ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังไม่อยู่ระดับที่น่างกัวล สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) โดยรวมทำให้ตลาดกลับมาเพิ่มโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มขึ้น อิง Fed watch tool ของ CME Group เพิ่มโอกาส Fed ลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.เป็น 84.6% VS. กับวันก่อนหน้ามีโอกาสเพียง 70% และมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยมากถึง 3 ครั้งในปีนี้ (ก.ย.24, พ.ย. และธ.ค.)

•(*/+) Fed Speaks : 1.) คุณ Alberto Musalem ประธาน Fed สาขา St. Louis(Non Voter) แสดงความเห็นที่ Dovish มากกว่าช่วงก่อนหน้า เผยเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. น่าพอใจ 2.) คุณ Mary Daly ประธาน Fed สาขา San Francisco (Voter) แสดงความเห็นในเชิง Dovish เผย ข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับจนถึงปัจจุบัน มองว่ามีแนวโน้มที่จะต้องมีการปรับนโยบายการเงินหรือความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับลงและทำ new low รับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐชะลอและดีกว่าคาด อิง อายุ 2 ปี ปรับลงแรงราว -11 bps ที่ 4.51% (ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน) และอายุ 10 ปี -8 bps ปิด 4.20% (ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF กลุ่มการเงิน MTC, กลุ่ม ICT เน้น TRUE กลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT ส่วน Dollar Index ระยะสั้นอ่อนค่าแรง ล่าสุดบริเวณ 104.1 +/- จุด (ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน)

• (*) To monitor : 12 ก.ค., จีนรายงาน ตัวเลขส่งออก เดือน มิ.ย. ตลาคาด 8%y-y เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 7.6%, นำเข้าคาด 2.8% เร่งขึ้นจาก 1.8% 15 ก.ค.: จีนประกาศ GDP 2Q24, ยอดค้าปลีก, ดัชนีราคาบ้าน, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน มิ.ย., PBoC กำหนดดอกเบี้ยนโยบาย, เริ่มประชุม Third Plenum วันแรก 15-18 ก.ค.

• (*)Oil น้ำมันดิบ Brent +0.38%d-d ปิดที่ US$ 85.4/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.63%d-d ปิดที่ US$ 82.62/barrel แรงหนุนจาก Dollar ที่อ่อนแรง ผสานกับ

•(+)World Container Index : ค่าระวางเรือโลก World Container Index แนวโน้มขาขึ้น ปรับขึ้น 12 สัปดาห์ติด แต่อัตราการขึ้นเริ่มชะลอสัปดาห์ล่าสุด +1%w-w (ก่อนหน้าเพิ่ม Double digit) อยู่ที่ 5,901 เหรียญต่อ 40 ft ทำจุดสูงสุดของปี และปรับขึ้นต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้น yggเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ดังนั้นยังแนะนำเพียง Trading ระยะสั้น ในหุ้นกลุ่มนี้

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index ปรับตัวขึ้น +6.09 จุด หรือ +0.46% ปิดที่ 1329.37 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, HANA, KCE) ตอบรับจิตวิทยาบวกกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดสหรัฐฯต่อเนื่อง จากสัญญาณบวกยอดขาย TSMC งวด 2Q24 ดีกว่าตลาดคาด กลุ่มสื่อสาร (JTS, ADVANC) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มเช่าซื้อ (TIDLOR, KTC, MTC) กังวลคุณภาพสินทรัพย์ กลุ่มการแพทย์ (BH) มองยังเป็นการสลับจากกลุ่ม Defensive ที่ Outperform ไปยังกลุ่มที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว อาทิ โรงไฟฟ้า

• (*/+) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -16.9 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -0.03 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 19,566 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 36.0 +/- บาท

• (*/+) Swine: คณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) เห็นชอบมาตรการเสริมในโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร ด้วยการปรับลดปริมาณแม่พันธุ์ลง 10% โดยจะเป็นการขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ มองจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มจำหน่ายสุกร BTG (หมูไทย 22% ของรายได้) TFG (20% ของรายได้) CPF (11-12% ของรายได้) และกลุ่มค้าปลีกที่มีโอกาสเห็นยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เร่งขึ้นทั้ง CPAXT (ยอดขายหมู 11-12% ของรายได้) และ CPALL (ได้ประโยชน์ทางอ้อมจาก CPAXT)ขณะที่มองจิตวิทยาลบต่อกลุ่มที่มีหมูเป็นต้นทุน อาทิ CHAO (15% ของต้นทุน) เชิงกลยุทธ์ ระยะสั้น เน้น CPALL, CPAXT และ CPF ที่ระยะสั้นมีแรงหนุนกำไร 2Q24F เด่น

• (*/+) Debt: ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่กำลังกดดันหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ คาดว่าจะเริ่มคาดหวังสัญญาณบวกจากแนวทางรัฐฯได้ วานนี้ธปท. ได้เชิญกรรมการผู้จัดการของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และผู้แทนสมาคมธนาคารไทยมาหารือ เพื่อผลักดันมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากได้เชิญกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารระดับสูงของผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มนอนแบงก์ (non-bank) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) รายใหญ่ หารือในสัปดาห์ก่อน ขณะที่วันจันทร์ (15 ก.ค.)

• (*/+) Carbon Credit: THCOM เปิดเผยว่า แพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้ ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม และ AI ได้รับการรับรองจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นรายแรกของประเทศไทย ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ต่อยอดความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจดาวเทียม มาสู่ธุรกิจเทคโนโลยีอวกาศ ด้วยการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจโลก มองจิตวิทยาบวกต่อ THCOM ที่อาจจะมี Upside เพิ่มเติมจากธุรกิจใหม่ๆ นอกจากนี้ เป็นปัจจัยบวกสำหรับหุ้นในกลุ่มที่มีศักยภาพหาโอกาสทางธุรกิจจากการขาย Carbon Credit ง่ายขึ้น อาทิ BRR , DITTO, BCPG

• (*/+) Infrastructure: กระแสเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐฯ ยังชัดเจน 1.) กรมทางหลวงมีแผนสร้างมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 4.5 พันล้านบาทภายในปี 2024 นี้ 2.) รฟท. เห็นชอบตามที่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้างเสนอขอปรับกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (Missing Link) ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 25.9 กม. โดยวงเงินใหม่ปรับเป็น 4.47 หมื่นล้านบาท มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา อาทิ CK, STEC

• (*) CCI: ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย.24 อยู่ที่ 58.9 ลดลงจาก 60.5 ในเดือน พ.ค.67 โดยปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค.23 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมากังวลต่อการเมืองไทยที่เริ่มขาดเสถียรภาพ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สว. เกี่ยวกับคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี และกังวลเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า เพราะยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน มองจิตวิทยาลบต่อกลุ่มค้าปลีก แต่เราเชื่อว่าหุ้นสะท้อนความกังวลการเมืองไม่ชัดเจนไปแล้ว SETCOMM -3.5% นับจาก 21 พ.ค. ที่เริ่มมีประเด็นทางการเมือง ขณะที่มาตรการ Digital Wallet ที่จะช่วยเปิด Upside กำลังเดินหน้า เชิงกลยุทธ์มองหุ้นค้าปลีกน่าสนใจลงทุน เน้น CPALL, CPAXT

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 404 บริษัท (vs วานนี้ 403 บริษัท) พบว่า ส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม ขณะที่กลุ่มถูก Short ลดลงเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 287 บริษัท (วานนี้ 291 บริษัท) กลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าลดลงเหลือ 56 บริษัท (วานนี้ 26 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 61 บริษัท (วานนี้ 86 บริษัท) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET

• (*) To Monitor: 1.) วันนี้ (12 ก.ค.) ติดตามรายงานกำไรกลุ่มธนาคาร วันนี้เริ่มจาก TISCO โดยเฉพาะในประเด็นคุณภาพสินทรัพย์2.) 15 ก.ค. การประชุม ครม. เศรษฐกิจ หารือในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน 3.) 16 ก.ค. กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. พิจารณากองทุน ThaiESG หลักเกณฑ์ใหม่ 4.) 17 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล 5.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)

 

 

Daily Strategy : GULF, CPALL, CPAXT เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" มองภาพบวกเงินเฟ้อสหรัฐฯที่อ่อนตัวลงกว่าตลาดคาด ทำให้ US Bond Yield 10ปี ยังลงต่อ หนุนสินทรัพย์เสี่ยง มองหุ้นนำฝั่ง 1) หุ้น Bond Yield พีคหนุน โดยเฉพาะกลุ่มที่ยัง Laggard โรงไฟฟ้า GULF, GPSC อสังหาฯ AP เช่าซื้อ MTC (ตั้งรับ) 2) หุ้ยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวภาคบริการ อาทิ ท่องเที่ยว AOT ค้าปลีก CPALL CPAXT

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, ICHI, SAPPE IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 

•AOT (Buy, TP68): เรามอง Slightly Positive ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F ของ AOT ที่ 4.7 พันลบ. เติบโตเด่น +48% y-y ต่อเนื่องตามการฟื้นของอุตฯ การบิน แต่ลดลง -20% q-q ตามฤดูกาล และคาดกำไรสุทธิ 4Q24F ทรงตัว q-q เนื่องจากยังเป็นช่วง Low season แต่โตเด่น +30-40% y-y ต่อเนื่อง เรายังคาดกำไรสุทธิปี FY24F ที่ 1.9 หมื่นลบ. โต +120% y-y คงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย (TP25F 68 บาท, มี Downside -3% กรณียกเลิก Duty free ขาเข้า)

•IVL (Reduce, TP19.5): มอง Negative ต่อปี 2024F ของ IVL ที่เผชิญขาดทุนมากขึ้น y-y โดยภาวะการแข่งขันที่สูงส่งให้บริษัทต้องปรับ/ปิดโรงงาน และส่งให้มีค่าใช้จ่ายด้อยค่าฯหลังภาษีฯเข้ามาราว -17,417 ลบ. คาดทยอยบันทึกใน 2Q-4Q24F ส่งให้ขาดทุนต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจหลักอย่าง PET จะไม่เร็ว และยังมีความไม่แน่นอน จากยังเผชิญ oversupply ที่เร่งขึ้นใน 2H24F ทั้งนี้เราปรับลดกำไร 2024-26F สะท้อนด้อยค่าฯ และ supply ใหม่ PET ที่มากกว่าคาด ปรับคำแนะนำเป็น Reduce ที่ TP = 19.5 เลี่ยงลงทุนจนกว่าด้อยค่าฯชัดเจน

•KCG (Buy, TP12.3): We project 2Q24F core profit to improve 51% yoy from +7% yoy sales growth but decline 10% qoq (to Bt77m) due to low seasonality. Despite the higher raw material prices qoq (especially butter oil), the gross margin improved 1.2ppt qoq to 31.7%, owing to: 1) the focus on improving gross margin from product rationalization, and 2) the provision for inventory clearance made in 1Q24 (about 1.2ppt). We maintain BUY, TP Bt12.30 and all estimates.

•DELTA (Neutral, TP82): We expect DELTA's earnings to grow to Bt4.7b (+6% yoy, +23% qoq) driven by AI-related products, which should also be a key catalyst for DELTA throughout this year. Upgrade to NEUTRAL with the new TP of Bt82 to reflect the expectation that DELTA should get a direct benefit form AI and the recovery on electronic demand.

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ปลุกหุ้นใหญ่ By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุ้นไทย สูตรเดิม มักใช้ได้เสมอ ใช้หุ้นDELTA นำ ตามด้วย .....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้