Today’s NEWS FEED

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ใช้กลไกคาร์บอนเครดิตลดการเผาอ้อย ลด ฝุ่น PM2.5 ลด ก๊าซเรือนกระจก (GHG)

402

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (4 กรกฎาคม 2567 )-------Key Summary

  • อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรปีละ 1 แสนล้านบาท
    แต่กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย ก่อให้เกิดฝุ่นละอองภาคเกษตร 23% และก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตันต่อปี
  • รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสดด้วยการให้เงินช่วยเหลือ และกำหนดปริมาณรับซื้ออ้อยเผา แต่ยังไม่สามารถลดอ้อยเผาให้เป็นศูนย์ได้
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 3 แนวทาง
    1. ให้ลดการเผาแล้วขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต เพื่อชดเชยกำไรที่ลดลงจากการตัดอ้อยสด ซึ่งต้องกำหนดราคาคาร์บอนเครดิต ไม่น้อยกว่า 126 บาท ต่อ tCO2 คิดเป็นเงิน 271 ล้านบาทต่อปี
    2. เพิ่มความเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตในประเทศกับมาตรฐานในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาดที่มีอุปสงค์มากขึ้น
    3. ลดสัดส่วนการปลูกอ้อยหันมาปลูกไม้โตไว ซึ่งนอกจากตัดขายเป็นรายได้ ยังสามารถขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้
  • ควบคู่กับนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ ได้แก่
    • ปรับปรุงเครื่องจักรเก็บเกี่ยวให้เหมาะสมกับพื้นที่
    • จัดทำระบบคาดการณ์และจัดลำดับการเก็บเกี่ยวอ้อย
    • สนับสนุนค่ารับรองคาร์บอนเครดิต
    • สนับสนุนค่าใช้จ่ายจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อใช้บรรลุเป้าหมาย Net Zero

อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่ก่อให้เกิดมลพิษ PM 2.5

อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้แก่ภาคเกษตรกรปีละ 1 แสนล้านบาท แต่กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยนั้นส่งผลส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองในอากาศ โดย ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในภาคเกษตรมาจากการปลูกอ้อย 23%(รูปที่ 1) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่ยังไม่บรรลุผล

 

ปัจจัยเชิงโครงสร้างทำให้เกษตรกรยังไม่สามารถตัดอ้อยสดได้ทั้งหมด

  • การตัดอ้อยด้วยรถต้องทำในพื้นที่มากกว่า 20 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยพื้นที่ปลูกอ้อยเท่ากับ 15.6 ไร่ต่อครัวเรือน โดยพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่า 20 ไร่ (สีเหลือง) ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกอ้อยที่มีพื้นที่มากกว่า 20 ไร่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก (สีส้ม) (รูปที่ 3)
  • ต้นทุนแรงงานเกี่ยวอ้อยสดสูงกว่าการเผาเกือบเท่าตัว และใช้ระยะเวลาเก็บเกี่ยวมากกว่า โดยใน 1 วันการตัดอ้อยสดสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1.8 ตัน ในขณะที่ถ้าใช้วิธีอ้อยเผาจะเก็บเกี่ยวได้ 5 ตัน ทำให้แรงงานเลือกตัดอ้อยด้วยวิธีการเผาเพราะได้รายได้มากกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า (รูปที่ 4)
  • ระยะเวลารับซื้อของโรงงานน้ำตาลมีจำกัด (วันปิดหีบเพื่อรับซื้ออ้อยปลายเดือนมี.ค. - เม.ย.) ส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวใกล้ระยะเวลาปิดหีบ จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวด้วยการเผาเนื่องจากไม่มีทางเลือกเพื่อที่จะให้ทันเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสด แต่ยังไม่สามารถลดอ้อยเผาให้เป็นศูนย์ได้


                      รัฐบาลเริ่มมีมาตรการกำหนดปริมาณรับซื้ออ้อยเผาเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองในภาคเกษตรตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งส่งผลให้ปริมาณอ้อยเผาที่มีการรับซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลปรับลดสัดส่วนปริมาณรับซื้ออ้อยเผามาที่ 20% และเพิ่มเงินสนับสนุนเป็น 120 บาทต่อตันตั้งแต่ปี 2563 อย่างไรก็ดีปริมาณอ้อยเผาเฉลี่ยยังคงอยู่ที่เฉลี่ย 30% (รูปที่ 2) ซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตันต่อปี หรือ4% ของ GHG ในภาคเกษตรของประเทศไทย (รูปที่ 3)

แก้ปัญหาการเผาอ้อยและลด GHG ด้วยคาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยส่งเสริมให้มีการทำโครงการลด GHG โดย GHG ที่สามารถลดได้นำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตและซื้อขายได้ ประเทศไทยมีคาร์บอนเครดิตตามโครงการลดก๊าซเรือน กระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)

ปัจจุบันมีโครงการขึ้นทะเบียน T-VER แล้วจำนวน 429 โครงการ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บ 12.9 ล้าน tCO2-e เป็นโครงการประเภทเกษตร 9 โครงการ ปริมาณ GHG ที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ 343,195 tCO2-e หรือ 3% ของโครงการที่ขึ้นทะเบียน (รูป5) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำสวนยาง

การเก็บเกี่ยวอ้อยสดทดแทนการเผาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่[1] อย่างไรก็ดี การเก็บเกี่ยวอ้อยสดมีต้นทุนที่สูงกว่าการเก็บเกี่ยวด้วยการเผา ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดมีกำไรน้อยกว่าอ้อยเผา 519 บาทต่อไร่ (รูปที่ 6)

อย่างไรก็ดีคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการหยุดเผาเศษวัสดุทางการเกษตรยังไม่มีมาตรฐานคาร์บอนเครดิตรองรับ จะต้องมีการออกมาตรฐานมารับรองคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมดังกล่าวด้วย

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางสนับสนุนเพื่อลดการเผาอ้อย 3 แนวทาง

1.เพิ่มแรงจูงใจการตัดอ้อยสดด้วยคาร์บอนเครดิตและมาตรการส่งเสริมจากหน่วยงานกำกับดูแล


เพื่อให้เกิดแรงจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการเก็บเกี่ยวอ้อยจากการเผาเป็นอ้อยสด โดยเพิ่มรายได้เกษตรกรที่ตัดอ้อยสดด้วยการขายคาร์บอนเครดิตให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเท่ากับเกษตรกรตัดอ้อยเผา (519 บาทต่อไร่) และครอบคลุมค่าใช้จ่ายรับรองคาร์บอนเครดิต (100 บาทต่อไร่) ซึ่งสามารถลด GHG ได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่ ทำให้ราคาคาร์บอนเครดิตจะต้องไม่น้อยกว่า 126 บาทต่อ tCO2-e (รูปที่ 7) หรือคิดเป็นเงิน 271 ล้านบาทต่อปี

2.เพิ่มความเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตในประเทศกับมาตรฐานในต่างประเทศ

ปัจจุบันมีโครงการลด GHG ในประเทศกว่า 51% ที่ขึ้นทะเบียนกับมาตรฐานต่างประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิตให้เชื่อมโยงกับต่างประเทศได้ จะเพิ่มความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตจากต่างประเทศที่มีความต้องการลด GHG อีกเป็นจำนวนมาก

 

3.ส่งเสริมให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกอ้อยและหันมาปลูกป่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว

เกษตรกรสามารถปลูกไม้โตเร็วซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่า เช่น ยูคาลิปตัส มะฮอกกานี สนประดิพัทธ์ ไผ่ เป็นต้น ซึ่งนอกจากสามารถตัดขายเพื่อเป็นรายได้แล้ว ยังสามารถนำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้[1]รวมถึงคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูกป่าจะมีราคาสูง เฉลี่ย 290 บาทต่อตัน CO2-e

นอกจากการส่งเสริมด้วยคาร์บอนเครดิต หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องดำเนินมาตรการควบคู่ด้วย ได้แก่

  • ปรับปรุงเครื่องจักรเกี่ยวอ้อยสดให้เหมาะสมกับพื้นที่ขนาดเล็ก
  • จัดทำระบบคาดการณ์และจัดลำดับการเก็บเกี่ยวอ้อยเพื่อให้ทันกับช่วงระยะเวลารับซื้อของโรงงาน
  • สนับสนุนค่ารับรองคาร์บอนเครดิต
  • สนับสนุนค่าใช้จ่ายของเอกชนจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อใช้บรรลุเป้าหมาย Net Zero

     เพื่อให้การแก้ปัญหาการเผาอ้อยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อสนับสนับให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งเกษตรกร โรงงานน้ำตาล ภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ดันต่อ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ หุ้นใหญ่ หน้าเดิม ดันSET ฝ่า 1,200 จุด ต่อ การสลับหน้าที่กันไป ห้วงระหว่างอยู่ ผลการ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้