Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

338


UPTRICK มีผล SHORT SELL ลดลงชัดเจน
การบังคับใช้UPTRICK RULE เพื่อควบคุมเรื่อง SHORT SELLวานนี้วันแรก พบว่าส่งผลทำให้มูลค่าธุรกรรม SHORT SELL ปรับลดลงจากค่าเฉลี่ย 5.5 พันล้านบาท/วัน ลงมาอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท หรือลดลง79% ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย ประเมินว่าการลดลงของธุรกรรมSHORT SELL น่าจะมีส่วนทำให้แรงกดดันต่อราคาหุ้นลดระดับลง แต่ในขณะเดียวกันที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดฯ ลดลงไปด้วย ซึ่งจากนี้ต้องหวังพึ่งการกลับมาของนักลงทุนในประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งผ่านกลไกของ TESG เกณฑ์ใหม่ และ วายุภักษ์ ที่จะเริ่มเห็นใน 3Q67 สำหรับปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานยังให้ความสำคัญกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยยังเชื่อว่า FED น่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.67 ขณะที่บ้านเราคงไว้ที่เดิม ภาวะดังกล่าวน่าจะช่วยลดการไหลออกของเงินได้ระดับหนึ่งแรงกดดันต่อราคาหุ้นน่าจะลดระดับลง หลัง UPTRICK RULE มีผลบังคับใช้ แต่อย่างไรก็ตามแรงผลักดันราคาหุ้นก็ยังเบา วันนี้คาดกรอบ
1294 –1306 จุด หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, BEM และ PTTEP

 

FED เริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ หวังเม็ดเงินชะลอไหลออกจากไทยได้บ้าง
สัญญาญเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับตัวลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ถือเป็นมุมมองเชิงบวกหนุนให้ FED พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1-2 ครั้งในปีนี้ขณะที่ BOND YIELD 10Y จะมีความผันผวนในช่วงสั้น แต่ในระยะถัดไปคาดว่าจะมีแนวโน้มย่อตัวลงต่อเนื่อง หาก FED เริ่มเดินหน้านโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งผลที่ตามมาน่าจะทำให้ผลต่าง BOND YIELD 10Y ของสรัฐฯ – ไทย มี GAP ที่แคบลงเรื่อยๆ เข้าสู่ค่าเฉลี่ย 1.03% เชื่อว่าจะส่งผลให้ FUND FLOW ชะลอการไหลออก และเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น


ส่วนในแง่มุมของตลาดหุ้น กรณีที่ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดหนุนให้ ผลต่างของ DIVIDEND YIELD ไทย - BOND YIELD 10Yสหรัฐฯ มี GAP แคบลงเหลือ 0.85% และถ้าต่ำกว่า 0.5% น่าจะเห็น FUND FLOWกลับมาไหลเข้าบ้านเราได้บ้าง

 

สรุป จุดเริ่มต้นของ FED ในการเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ เชื่อว่าจะหนุนให้BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง ถือเป็นการช่วงลด GAP กับBOND YIELD 10Y ไทย รวมถึง DIVIDEND YIELD ไทย ให้ปรับตัวแคบลง เชื่อว่าจะส่งผลให้ FUND FLOW ชะลอการไหลออก และเงินบาทแข็งค่ามากขึ้น

FLOW ต่างชาติไหลออก 1.5 ปี 3 แสนล้านบาท แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากมาตรการ ตลท.
ด้วยปัจจัยลบทั้งเรื่องดอกเบี้ยไทยที่อยู่ต่ำกว่าสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอน กดดันเม็ดเงินต่างชาติในช่วง 1.5 ปี ไหลออกหุ้นไทย 3.1 แสนล้านบาท และส่งผลให้ SET INDEX ทยอยปรับตัวลงจาก 1570 จุด สู่ระดับ 1300 จุดในปัจจุบัน หรือ -17% พร้อมกับ MARKET CAP หายไป 4.3 ล้านล้านบาท


ขณะที่หากพิจารณาในช่วงเวลาเดียวกัน หุ้นหลายตัวปรับตัวลงแรง และกดดันMARKET CAP ลดลงอย่างมีนัยฯ อาทิ EA พบว่า MARKET CAP หายไป 3.2แสนล้านบาท (RETURN -89%), AOT ขนาด MARKET CAP หายไป 2.46แสนล้านบาท(RETURN -24%), GULF ขนาด MARKET CAP หายไป 1.73 แสนล้านบาท(RETURN -27%), SCC ขนาด MARKET CAP หายไป 1.40 แสนล้านบาท(RETURN -35%) เป็นต้น


แต่อย่างไรก็ตามหลังวานนี้เป็นวันแรกที่มีมาตรการ UPTICK RULE ทุกหลักทรัพย์และกำหนดเกณฑ์หุ้นที่จะ SHORT SELLING จึงทำให้หุ้นข้างต้น มียอด SHORT คงค้างลดลงอย่างมีนัยฯ เมื่อเทียบกับยอด SHORT SELL(YTD) ทำให้มีโอกาสสูงที่จะลดความผันผวน และเป็นโอกาสทยอยสะสมสำหรับหุ้นพื้นฐานดีในหุ้นกลุ่มนี้ อาทิAOT GULF SCC CPAXT CPALL CPN เป็นต้น

 

สรุป FLOW ต่างชาติไหลออก 1.5 ปี รวมมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากมาตรการ ตลท. จนทำให้หุ้นหลายตัวมียอด SHORT คงค้างลดลงอย่างมีนัยฯ จึงเป็นโอกาสทยอยสะสมสำหรับหุ้นพื้นฐานดีในหุ้นกลุ่มนี้ รวมถึงหุ้นลงมาลึกหวังรีบาวด์ อาทิ EA AOT GULF SCC CPAXT IVL CPALL CPNGPSC PTTGC เป็นต้น


UPTICK จุดเริ่มต้น ยึดกระดานตลาดหุ้นไทย คืนจากต่างชาติ
ในปี 2023 และ 2024YTD ต่างชาติมีสัดส่วนซื้อขายหุ้นไทยสูงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าซื้อขายรวม ที่ 52.3% และ 54.0% ตามลำดับ และนักลงทุนไทยเหลือสัดส่วน่ถึงครึ่ง 47.7% และ 46.0% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามในมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ จุดเริ่มต้นเปลี่ยนเกมส์ อาจเกิดขึ้นในวานนี้หลังตลาดฯ ประกาศใช้กฏ UPTICK เป็นวันแรก ผลลัพธ์ถือว่าทำงานได้ดี และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ค่อยๆ ยึดกระดานตลาดหุ้นไทย คืนจากต่างชาติได้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้
▪ ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อยในตลาดหุ้นไทย 338 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันยาวนานถึง 27 วันทำการกว่า 5.16 หมื่นล้านบาท)
▪ ต่างชาติสลับมา LONG สุทธิ SET50 FUTURES 1,984 สัญญา (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 3 วัน)
▪ สัดส่วนการ SHORT SELL เหลือเพียง 3.7% ของมูลค่าซื้อขาย และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปีนี้ (YTD) ที่ 12.9%
▪ มูลค่าธุรกรรม SHORT SELL ลดลงเหลือ 1.2 พันล้านบาท ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยSHORT SELL ในปีนี้ (YTD) ที่ 5.5 พันล้านบาทต่อวัน หรือลดลงกว่า 79%
และเป็น % ที่ลดลงเท่ากับช่วงที่ใช้มาตรการ UPTICK ตอนเกิด COVID-19พอดี
▪ ปริมาณการ SHORT SELL ผ่าน NVDR เหลือเพียง 392 ล้านบาท น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 1 เดือนกว่าๆ ที่ 3.1 พันล้านบาทต่อวัน หรือลดลงกว่า 87%

ทั้ง 5 ส่วนที่กล่าวมา แสดงให้เห็นถึง MOMENTUM ที่ต่างชาติชะลอการ SHORTSELL ปกติ และ SHORT ผ่าน NVDR รวมถึงขายสุทธิน้อยลง ที่สำคัญคือ เริ่มเห็นสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนไทยในวันที่ 1 ก.ค. 24 ที่กลับมาเกินครึ่งหนึ่ง หรืออยู่ที่ 55.3% มาจากนักลงทุนรายย่อยถึง 37.7% และกองทุน 8.7% ซึ่งคาดว่าสัดส่วนการซื้อขายของกองทุนจะค่อยๆเร่งตัวขึ้นหลังมีกองทุน THAIESG เข้ามา น่าจะหนุนให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 11% - 13% เหมือนช่วงที่มีกองทุน LTF ในปี 2017 – 2020 ได้

 

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ดันต่อ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ หุ้นใหญ่ หน้าเดิม ดันSET ฝ่า 1,200 จุด ต่อ การสลับหน้าที่กันไป ห้วงระหว่างอยู่ ผลการ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้