"Selective Play"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1290/1285 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง S&P500 -0.4% จากผลประกอบการรายตัว ล่าสุด Nike รายงานกำไรแย่กว่าคาด ขณะที่ US Bond Yield 10ปี ดีดตัว +10 bps สู่ 4.39% จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มิ.ย.24 (รายงานรอบสุดท้าย) ดีกว่าคาด แม้เงินเฟ้อ PCE จะออกมาต่ำตามที่ตลาดประเมิน +0.1%m-m, +2.6%y-y ส่วนจีนการฟื้นตัวยังขาดความต่อเนื่อง ล่าสุด PMI ภาคผลิต ยังต่ำกว่าระดับขยายตัว ภาคบริการต่ำสุดในรอบ 6เดือน ภาพรวมต่างประเทศให้น้ำหนักเป็นกลาง ส่วนภายใน เรายังมองบวกต่อการเริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule มีผลวันนี้ คาดช่วยลดความผันผวนจากการ Short ขณะที่ต้นสัปดาห์ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลในช่วงรอยต่อก่อน Digital Wallet เริ่มใช้ปลายปี หนุนเศรษฐกิจที่การฟื้นตัวยังค่อยเป็นค่อยไป วันนี้มอง SET เริ่มแกว่งในกรอบตั้งฐานได้ หุ้นนำ คือ หุ้นมีแรงหนุน Bond Yield ไทยเช้านี้อ่อนลงสู่ 2.685% หุ้น Domestic คาดกระแสมาตรการกระตุ้นหนุน วันนี้แนะนำ : CPAXT, GULF, BEM (ผลบวกโครงการ Double Deck ดีกว่าประเมินไว้เดิม)
Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1290/1285 จุด
What happened around the world ?
•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงหลังวันศุกร์รับตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาแกร่ง และกังวลการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลัง Poll สำรวจจาก Debate ยกแรกพบว่าคุณ Trump ชนะคุณ Biden โดย Dow jones -0.12% S&P500 -0.41%, Nasdaq -0.76% โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Real estate, Energy, Financials ฯลฯ โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ ICT, Consumer Discretinary, Utilities ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆคือ Nike -19.9% หลังรายงานงบออกมาไม่ดีในสินค้าหลักอย่าง Footwear และบริษัทให้ Outlook ว่าจะมีรายได้หดตัวราว -10%ในไตรมาสปัจจุบัน, หุ้น Semiconductor อาทิ Super micro computer -8.3% เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทยและ กลุ่ม Tech อาทิ Microsoft -1.3% จากข่าว EU จะเปิดการสอบสวนการผูกขาดด้าน AI โดยเฉพาะการจับมือของ Microsoft กับ Open AI
•(-) France Politic: ฝรั่งเศสปิดหีบเลือกตั้งรอบแรก 30 มิ.ย.24ไปแล้วเมื่อเวลา 23.00 น.ตามเวลาประเทศไทย และมีกำหนดจะเลือกตั้งครั้งที่ 2 เพื่อชี้ขาดผลเลือกตั้งในวันที่ 7 ก.ค. โดยผลเลือกตั้งยังคาดการณ์ยาก แต่โพลส่วนใหญ่คาดฝั่งขวาจัดจะเป็นผู้ชนะเป็นลบต่อการบริหารประเทศในฝรั่งเศสและสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงสร้างความผันผวนต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของยุโรป
•(*) US Econ : เงินเฟ้อ PCE และ Core PCE เดือน พ.ค. ออกมา In line โดย Headline PCE ลดลงสู่ระดับ 2.6%y-y จาก 2.7% ในเดือน เม.ย. และ Core PCE +2.57%y-y ต่ำสุดในรอบ 3 ปี 3 เดือน และ Flat m-m เป็นไปตามคาด ปัจจัยหลักมาจากหมวด Goods ที่หดตัวลง (ภาพเดียวกับ CPI 2.) Personal Income +0.5%m-m ดีกว่าคาด หลักๆเพิ่มขึ้นจากค่าจ้าง(Wage) และ Interest Income และ Dividend Income ขยายตัวขึ้น และรายได้จากค่าเช่าขยายตัว 3.) Personal Spending (รายจ่ายส่วนบุคคล) +0.2%m-m ต่ำกว่าคาดทำให้ Saving Rate ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน 4.)ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย ม.มิชิแกน มีการ Revise -Up ตัวเลขเป็น 68.2 จุด จาก 65.6 ของประมาณการณ์ครั้งแรก สะท้อนกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง
•(*/-) US Debate : การ Debate ยกแรก ระหว่างประธานาธิบดี Joe Biden(พรรค Democrat) VS. อดีตประธานาธิบดี Donald Trump (พรรค Republican) หยิบยกประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ โดย Key ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก ประเมินการ Debate ในรอบนี้นโยบายหรือแนวคิดของทั้ง 2 ท่านคล้ายกับในอดีต และเนื่องจากยังเหลือเวลาอีกมากก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ KSS ประเมินไม่ว่า Biden หรือ Trump ชนะการเลือกตั้ง แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน เน้น WHA( TP@6.0) และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน CPF GFPT TU ชิ้นส่วน KCE HANA เชิงกลยุทธ์ระยะสั้น เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT
• (-) China Econ: 1.) PMI ภาคการผลิตเดือน มิ.ย. ทรงตัวที่ 49.5 สอดคล้องกับที่ Consensus คาด อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้กิจกรรมการผลิตของจีนยังชะลอตัว ส่วน PMI ภาคบริการลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ระดับ 50.5 จุดต่ำกว่าที่ Consensus คาด 2.) ฝั่งบ้าน อิง Bloomberg รายงานยอดขายบ้านในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น กวางโจว ฟื้นตัวขึ้นเหลือ -17% ประเมินผลของมาตรการที่ออกเมื่อช่วงปลาย พ.ค. อย่างการลดเงินดาวน์และอนุญาตให้มีการกู้ยืมที่ถูก
•(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 1 ก.ค. PMI ภาคผลิต (ISM) ตลาดคาด 49.2 จุด 3 ก.ค. ยอดคำสั่งซื้อโรงงาน พ.ค. 24 ตลาดคาด +0.3%y-y 5 ก.ค. ติดตามการจ้างงานนอกภาคเกษตร มิ.ย. คาด +1.88 แสนราย vs prev. 2.72 แสนราย, อัตราการว่างงาน มิ.ย. คาด 4.0% ทรงจาก prev. Fed Minutes: 4 ก.ค. ติดตามรายงานการประชุม FOMC รอบ มิ.ย. CH PMI: 1 ก.ค. ติดตาม Caixin PMI ภาคผลิต มิ.ย. คาด 51.5 จุด 3 ก.ค. Caixin PMI ภาคบริการ มิ.ย.
• (*) US Bond Yields & Dollar : แนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง ระยะสั้นแกว่งตัวออกข้างปรับขึ้นอายุ 2 ปี +2 bps ลงมาอยู่ที่ 4.74% ส่วนอายุ 10 ปี ปรับขึ้นแรง 10 bps อยู่ที่ 4.39% สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ เช่นเดียวกับ Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มแกว่งตัว 105.5+/- จุด
• (+/-) Oil & Refinery ราคาน้ำมันดิบวันศุกร์ Brent -0.04%d-d ปิดที่ US$ 84.97/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.24%d-d ปิดที่ US$ 81.54/barrel โดยระยะสั้นมีกระแสข่าว ซาอุฯ เตรียมประกาศลดราคาขายอย่างเป็นทางการ (OSP) ให้กับผู้ซื้อหรือผู้ประกอบการโรงกลั่นในเอเชียประมาณ 0.6-0.8$/bbl สะท้อน Demand ที่อ่อนแอในตลาดน้ำมันซึ่งจะมีผลกดดันให้ราคาน้ำมันลดลงในอนาคต แต่การปรับลด OSP Price จะเป็นบวกต่อผู้ประกอบการโรงกลั่นจาก Crude Premium ที่ลดลงส่งผลให้ค่าการกลั่นรวมเพิ่มขึ้นในอนาคต เน้น SPRC, TOP
What happened in Thailand ?
• (*/+) SET: SET Index ยังคงเคลื่อนไหวผันผวน สวนทางหุ้นต่างประเทศ ปรับตัวลดลง -8.5 จุด หรือ -0.65% ปิดที่ 1301 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มปิโตรเคมี (BCT, GGC) กลุ่ม REITs (CPNREIT) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (EA, PTTEP, GULF) หลักๆ คือ EA ที่พื้นฐานยังมีแนวโน้มอ่อนลง จาก Adder ที่ทยอยลดลงในระยะถัดจากนี้ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) มองถูกขายทำกำไร
• (-) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -71.4 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 27 วันทำการต่อเนื่อง ขายพันธบัตร -33.3 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -18,716 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 36.67 +/- บาท
• (*) MPI: ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม พ.ค. 24 กลับไปพลิกหดตัว -1.5%y-y vs prev. 2.7%y-y (กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน) เรามองเป็นกลาง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่กดดัน คือ ยานยนต์ -14.2%y-y หดตัวเร่งขึ้นจาก prev -6.7% ซึ่งสะท้อนในหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่ YTD Underperform -23.6% ไปแล้ว และกลุ่มคอมพิวเตอร์ที่ -12.3%y-y (prev. -11.3%) กลุ่มบวกเร่งขึ้น คือ กระดาษและผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง (คาดแพ็คเกจจิ้ง) +11.1%y-y (prev. 8.7%y-y เป็นการขยายเร่งขึ้น 3 เดือนติด) เน้น SCGP กลุ่มอาหารยังขยายตัว +5.6%y-y (prev. 8.6%y-y) มองเป็นโมเมนตัมเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มอาหาร (CPF, GFPT) เน้น GFPT กลุ่มเครื่องดื่ม +5.7%y-y (prev. 11.3%) มองโมเมนตัมบวกต่อกลุ่มเครื่องดื่ม (CBG, OSP, ICHI, SAPPE) เน้น OSP, ICHI กลุ่มเคมีภัณฑ์ +3.3%y-y (prev. 7.2%y-y) มองจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มเเคมีภัณฑ์ (IVL, PTTGC)
• (+) Lanina effect: กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะลานีญาในช่วงเดือน ก.ค. - ก.ย. และ ต่อเนื่องไปม.ค.- มี.ค. ปีหน้า โดยเฉพาะเดือน ก.ค. นี้คาดว่าจะมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติ (เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกันของปี 2534-2563** ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นหนุนผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นหนุนรายได้เกษตรกร (Farm Income) สูงขึ้นในอตาคตเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มรากหญ้า อาทิ DOHOME, GLOBAL ปริมาณฝนที่สูงขึ้นส่งผลบวกโดยตรงกับหุ้นที่ผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนพลังงานน้ำ เน้น CKP
• (*/+) Short Sales: จำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างวานนี้ที่ 418 บริษัท หากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงยอด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะ / ทุนชำระแล้ว สิ้นสุด วันที่ 28 มิ.ย. vs 27 มิ.ย. พบว่า จำนวนหุ้นที่มียอด Short ส่วนใหญ่คงที่ 193 บริษัท (vs prev. 192 บริษัท) ขณะที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 172 บริษัท (vs prev. 180 บริษัท) ลดลง 53 บริษัท (vs prev. 38 บริษัท) โดยวันนี้จะเป็นวันทำการแรกก่อนที่มาตรการ Uptick Rule จะเริ่มมีผล 1 ก.ค. เรามองหุ้นที่มีพื้นฐานระยะยาวแข็งแกร่ง ปรับฐานลึกกว่าตลาด และยอด Short Sales ที่ยังไม่ปิดสถานะสูงเกิน 1% มีโอกาสเห็นการ Cover Short ได้แก่ HANA (ยอด Short Sales ที่ยังไม่ปิดสถานะ/ทุนชำระแล้ว 2.84%, YTD -12.7% vs SET -8.1%) IVL( -28%, 2.28%) BTS (-38.2%, 1.6%) BCH (-23.7%, 1.32%) GPSC (-18%, 1.28%) AMATA (-16.3%, 1.2%) CRC (-25%, 1.1%) AP (-29.7%, 1.11%), BGRIM (-20.7%, 1.0%) รวมถึงกลุ่มที่มีน้ำหนักใน SETESG สูง ขณะทีมียอด Short สูง TOP (น้ำหนักใน SETESG 1.1%, ยอด Short Sales ที่ยังไม่ปิดสถานะ/ทุนชำระแล้ว 2.7% (AOT 7.7%, 1.11%)
• (*/+) To Monitor: 1.) ต้นสัปดาห์ ติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้นมองเน้นไปที่ การท่องเที่ยว (AOT) บริโภค (CPALL, DOHOME) อสังหา (AP, SIRI) คาดมีโอกาสรัฐบาลจะกล่าวถึงในช่วงประชุม ครม. เศรษฐกิจ / ครม. นอกจากนี้ ติดตามการพิจารณาอนุมัติมาตรการ Digital Wallet 2.) 3 ก.ค. การพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล คาดน่าจะมีความชัดเจนวันวินิจฉัยคดี 5 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. 24 ตลาดคาด 1.0%y-y vs prev. 1.54% และ 3.) การพิจารณานำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้น
Daily Strategy : CPAXT, GULF, BEM เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "แกว่งในกรอบ" ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นกลาง โดย Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับขึ้น หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan) เร่งขึ้น แต่เงินเฟ้ออ่อนลง บ่งชี้ภาพโอกาสลดดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังประคองโตได้ จีนการฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน จากรายงาน PMI ขณะที่วันนี้จะเป็นวันทำการสุดท้ายที่มาตรการ Uptick Rule มีผล มองหุ้นนำ 1) กลุ่มหุ้นมีแรงหนุน Bond Yield ไทยเช้านี้อ่อนลงสู่ 2.685% อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF เช่าซื้อ MTC และ 2) กลุ่มต้นสัปดาห์มีกระแสนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ค้าปลีก ท่องเที่ยว อสังหาฯ
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO OSP SAPPPE ICHI)
• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP
• 3Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, JMT, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : US Election (The first debate)
Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี
กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน
ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• Strategy Update : Time to Invest
ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง
Key Ideas:
• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง
• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด
• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ
• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ
• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง
กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น
1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU
2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF
•AOT (Buy, TP68): เรามอง Slightly Negative ช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผานมาหุ้น AOT ถูกกดดันจาก 3 ปัจจัยลบที่มีผลต่อผลการดำเนินงานไม่มาก (<10%) เราเชื่อว่าจะมีรายได้จากโครงการใหม่เข้ามาชดเชยได้ไม่ยาก และราคามองราคาหุ้น AOT ลดลงราว -6% ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนบ้างแล้ว เรายังคาดกำไรสุทธิปี FY24F-25F เติบโตโดดเด่น (+120% y-y และ +28% y-y ตามลำดับ) จึงมองเป็นโอกาส "ทยอยสะสม" คงคำแนะนำ Buy (TP 68 บาท)
•BEM (Buy, TP9.5): Reiterating Buy call with TP Bt9.5. New information from BEM to lift revenue sharing to 50% from 40% (on FES, sector A and B) and the continued collection on short trips of sector C and D will not only entirely offset the impact of fare price reduction to Bt50/trip to 2025 earnings but it also adds about Bt1 to our TP Bt9.5.
•ROJNA (Buy, TP9.5): We share our view with ROJNA's management that demand momentum remains strong despite slow land sales in 2Q24F at 157 rai (-73% yoy and -65% qoq). We maintain 1,870 rai for FY24F in the light of strong reserve of 2,000 rai. We anticipate its core profit of Bt562m in 2Q24F, jumping 38% yoy and 162% qoq, thanks to recovery of both land transfer and power units. Its share price correction 21% in past 1.5 months has pull down its PER to -1.5 SD and PBV to only 0.7x. We view this an opportunity to BUY.
2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery
Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU
Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC