
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(28 มิถุนายน 2567)------ YLG มองเทรนด์ทองคำครึ่งปีหลังยังเป็นขาขึ้น คงเป้าหมาย 2,500 ดอลลาร์ หลังครึ่งปีแรกทองบวกกว่า 11%
วายแอลจีเผยครึ่งแรกปีนี้ทองคำพุ่ง 11.5% YTD มองเทรนด์ครึ่งปีหลังยังปรับขึ้นได้ต่อ มองเป้าหมายปี 2567 ยังคงเป้าที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ รับปัจจัยบวก 4 ปัจจัยต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังตึงเครียด และแม้จีนจะพักการเข้าซื้อในระยะสั้น แต่ภาพรวมจากธนาคารกลางทั่วโลกยังเข้าซื้อต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงถือครองดอลลาร์สหรัฐ และปัจจัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี หนุนการซื้อขายทองคำเข้าสู่รูปแบบดิจิทัล โดยถัวเฉลี่ยทุกๆ เดือน แบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ผ่านแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ 24 ชม. พร้อมแนะนักลงทุนหน้าใหม่เข้าถึงการลงทุนได้เพียงโหลดแอปฯ Get Gold by YLG ลงทุนทองคำขั้นต่ำเพียง 100 บาท
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าราคาทองคำในครึ่งปีแรกนับจากต้นปีถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ณ เวลา 12.00 น. ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 11.5% YTD ส่วนราคาทองคำแท่ง96.5% ในประเทศ ปรับตัวขึ้นมามากถึง 19.6% YTD โดยราคาทองคำต่างประเทศได้ทำจุดสูงสุดที่ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ อย่างไรก็ดีแม้ว่าในเดือน มิ.ย. จะเริ่มแกว่งตัวปรับฐานลงมาบ้าง แต่ยังถือว่าเคลื่อนไหวอยู่ในระดับราคาที่ค่อนข้างสูงและคาดครึ่งปีหลัง แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำจะยังคงรักษาทิศทางการเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ต่อเนื่อง โดยมาจากปัจจัยบวกดังนี้
1. ปัจจัยด้านแนวโน้มดอกเบี้ยที่ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งปัจจัยนี้ได้ส่งผลบวกต่อราคาทองคำมาตั้งแต่ต้นปี ถึงแม้ว่าเฟดจะเลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป แต่หากในครึ่งปีหลังเฟดทำการปรับลดดอกเบี้ยได้จริง 25 bps จำนวน 1 ครั้ง สอดคล้องกับที่ส่งสัญญาณใน Dot Plot จะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อทองคำ และหากสามารถปรับลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง ดังความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดจำนวนหนึ่ง ทองคำก็จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
2. ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ถึงแม้ประเด็นนี้จะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ความขัดแย้งในหลายๆพื้นที่ของโลกในปีนี้ก็ยังมีความยืดเยื้อ ทั้งจากโซนตะวันออกกลาง ซึ่งล่าสุดกลุ่มฮิสบอลเลาะห์ได้ตอบโต้ใส่อิสราเอล, รัสเซีย-ยูเครน รวมถึงเกาหลีเหนือที่ “คิม จอง อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้ทำสนธิสัญญากับ “วลาดิมีร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซีย ข้อตกลงทางทหารเพื่อปกป้อง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตี อีกทั้งยังมีการเลือกตั้งสหรัฐ (US Elections) ภาพดังกล่าว ทำให้ทองคำจะยังได้รับแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ต่อในครึ่งปีหลัง
3. ธนาคารกลางทั่วโลกสะสมทองคำต่อเนื่อง แม้ในช่วงเดือน มิถุนายน จะมีข่าวธนาคารกลางจีนได้หยุดซื้อทองคำหลังจากที่ทำการซื้อต่อเนื่อง 18 เดือน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลในระยะสั้น อย่างไรก็ดีประเด็นนี้อาจจะเกิดขึ้นแค่ระยะสั้น เนื่องจากธนาคารกลางจีนเพียงแค่ชะลอการเข้าซื้อในช่วงราคา All Time High โดยไม่มีการเทขายแต่อย่างใด ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงเดินหน้าซื้อทองคำต่อไปตามแผนกลยุทธ์ในระยะยาว เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางกระแส De-Dollarization ปัจจัยนี้จึงจะยังคงส่งผลดีต่อทองคำในระยะยาว
4. ปัจจัยด้านเทคโนโลยีที่ส่งผลให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงทองคำง่ายขึ้น การพัฒนาของโลกดิจิทัล ส่งผลให้ทองคำสามารถซื้อขายแบบออนไลน์ในปริมาณหน่วยที่เล็กลง เช่น การซื้อทองคำออนไลน์ได้ตั้งแต่ครั้งละ 100 บาท และสามารถทำการขายได้ทันทีเมื่อมีกำไร ส่งผลให้คนรุ่นใหม่หันมากระจายความเสี่ยงการลงทุนผ่านทองคำมากขึ้น
แม้ราคาทองคำจะอยู่ในช่วงการสร้างฐานที่โซน 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่ทั้งนี้สำหรับเป้าหมายราคาทองคำในครึ่งปีหลัง YLG ยังคงเป้าหมายเดิมที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยมองว่าส่วนหนึ่งครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซันและเทศกาลให้ของขวัญก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนความต้องการทองคำแบบ Physical Gold มากขึ้นด้วย และในปีถัดไปหากปัจจัยหลายอย่างข้างต้นยังสนับสนุนทองคำอย่างชัดเจน ราคาทองคำก็จะมีโอกาสขึ้นทดสอบเป้าหมายถัดไปที่โซน 2,650-2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนทองคำ วายแอลจีได้เปิดให้บริการลงทุนทอง ผ่านแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG เปิดโอกาสเริ่มสะสมด้วยเงินลงทุนเพียง 100 บาท ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแอปฯสำหรับซื้อขายทองคำออนไลน์ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ แต่ยังเป็นช่องทางสำหรับการลงทุนโดยถัวเฉลี่ยทุกๆ เดือน แบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ทั้งนี้ทองคำได้พิสูจน์แล้วตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ว่าเป็น “ของต้องมี” เพราะผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี 5 ปี และ 3 ปี เฉลี่ยเกือบ 5% จึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่ App Store และ Play Store หรือ LINE : @ylggetgold โทร. 0-2678-9888 #2
ฮั่วเซ่งเฮง มองอีก 2-3 ปี นับจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองคำ
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เผยข้อมูลจากงานสัมมนา Investment Forum 2024 โดยชี้แนะถึงทิศทางราคาทองคำครึ่งหลังของปี 2567 ว่า แนวโน้มความต้องการทองคำของตลาดในประเทศยังคงมีเพิ่มขึ้น แต่ต้องจับตามองถึงสถานการณ์และปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครฯ มีทีท่าชัดเจนต้องการให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟด เร่งลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ ทางฮั่วเซ่งเองมองว่าอีก 2-3 ปี นับจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองคำ
3 ปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อราคาทอง
- แนวโน้มดอกเบี้ย: คาดกันว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว และหากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มลงหรือเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว คาดว่าดอกเบี้ยจะลดมากกว่า 1 ครั้ง
- นโยบายการคลังของสหรัฐ: จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นผู้ชนะ ซึ่งทรัมป์เองมีนโยบายลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยจะส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ
- นโยบายการเงิน: หากเฟด ไม่ลดดอกเบี้ย หนี้ของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งฯ มีแนวโน้มว่าจะมีการก่อหนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดอกเบี้ยในระดับสูงจะนำมาซึ่งปัญหาหนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทอง หรือหากเฟดลดดอกเบี้ย ก็จะเป็นผลบวกกับทองเช่นเดียวกัน
ทองคำยังคงได้รับความนิยมและเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน โดยมีจุดเด่นซึ่งแตกต่างจากการลงทุนอื่น ๆ และถือเป็นการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% (ย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา) โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่นักลงทุนมักจะให้ความสนใจการลงทุนทองคำก็คือความสามารถในการคุ้มครองมูลค่าเงินลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นดังนี้
1. การเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย: ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ "Safe-Haven Asset" ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
2. ความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก: ทองคำมีการซื้อ-ขายทั่วโลกและมีตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้นักลงทุนสามารถทำการซื้อ-ขายได้ตลอดเวลา
3. การรักษามูลค่าในระยะยาว: ทองคำไม่เสื่อมค่าเมื่อเวลาผ่านไป ต่างจากสินทรัพย์บางประเภทที่อาจสูญเสียมูลค่า เนื่องจากการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ
ฮั่วเซ่งเฮงแนะวิธีการสร้างผลตอบแทนให้สม่ำเสมอ
แนวทางที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และใช้ได้ดีกับทุกสภาวะของตลาด แม้ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วย 2 วิธีดังนี้
1. การกระจายการลงทุน (Diversify Portfolio) การกระจายการลงทุนที่ดี ต้องตอบโจทย์การลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ซึ่งการคัดเลือกสินทรัพย์และให้น้ำหนักในการลงทุนตามเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน เป็นไปตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้
2. Dollar Cost Averaging (DCA) เป้าหมายของ DCA คือ การลงทุนด้วยค่าเฉลี่ยของราคา แม้จะไม่ใช่วิธีที่ทำให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ก็เป็นการเฉลี่ยต้นทุนในการเข้าซื้อ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวและต้องการลดความเสี่ยงอื่นที่ไม่ใช่ market risk
ความต้องการทองคำของตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้นนั้น จะยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันที่ผู้คนต่างซื้อทองคำมอบเป็นของขวัญ หรือได้เงินก้อนจากโบนัสและต้องการลงทุน ทั้งนี้ ฮั่วเซ่งเฮงแนะนำการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนี้
แนวโน้มราคาทองคำช่วงครึ่งหลังของปี 2567
แนวโน้มราคาทองคำโลก แนวรับบริเวณ 2,250-2,430 ดอลลาร์ ยังคงแข็งแกร่งและสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากระดับดังกล่าวได้ ซึ่งแต่ละรอบที่ปรับตัวขึ้นมาก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้แทบทุกครั้ง และยังมีการยก Low และยก High ขึ้นมาในแต่ละเวฟ ซึ่งเป็นรูปแบบของแนวโน้มขาขึ้น
คาดการณ์ แนวรับ 2,280 / 2,250 แนวต้าน 2,400 / 2,430
แนวโน้มราคาทองในประเทศ ได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวราว 2.40 บาทหรือราว 6.8%
ช่วยหนุนราคาทองคำ โดยหลังจากขึ้นมาเหนือระดับ 40,000 บาทแล้ว ราคายังไม่เคยหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ 40,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากความผันผวนของตลาด รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกระแสลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ และแน่นอนว่ารวมถึงแนวโน้มของทองคำที่เป็นขาขึ้นด้วย
คาดการณ์ แนวรับ 40,000 / 39,700 แนวต้าน 41,000 / 41,300
ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อทอง
ประเด็นที่ 1 : ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในการประชุมเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อมูล Dot plot แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจลดดอกเบี้ยปีนี้เพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น
ประเด็นที่ 2 : การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้ามามีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำค่อนข้างมาก
ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อทอง
ธนาคารกลางจีนประกาศระงับการซื้อทองคำในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 18 เดือน ทำให้ตลาดตีความว่าธนาคารกลางจีนอาจหยุดซื้อทองคำแล้ว ทั้งนี้ ในปี 2566 ธนาคารกลางจีนเข้าซื้อรวม 225 ตัน หรือเฉลี่ย 19 ตันต่อเดือน
สำหรับ 4 เดือนแรกของปีนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองเพียง 130 ตัน ซึ่งถือว่าน้อยลง แต่หากราคาทองลงแรง ก็คาดว่าจะเข้าซื้อเพิ่มอีก ดังนั้น หากมีข่าวว่าธนาคารกลางจีนกลับมาซื้อทองคำอีกครั้ง เหตุผลดังกล่าวจะกลับมาเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองสูงขึ้น
///จบ///