Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

699

 


"Cover Short Position Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1320/1330 จุด รับ 1305/1300 จุด S&P500 +0.09% ก่อนการ Debate ประธานาธิบดีสหรัฐ (8:00 เวลาไทยวันนี้) และเงินเฟ้อ PCE พ.ค. 24 US Bond Yield 10 ปี กลับมาลงต่อ -3bps ปิดที่ 4.29% แม้ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ยังสูง ทำให้ Avg. 4 Weeks เป็นขาขึ้นตั้งแต่ 9 พ.ค. ขณะที่ยอดผู้รับขอสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องแย่กว่าคาด บ่งชี้ภาคแรงงานแย่ลง ส่วนเงินเฟ้อ PCE วันนี้ ตลาดคาด +2.6%y-y vs prev.+2.7%y-y ภายในพ้นการ Rollover TFEX ไปแล้ว ขณะที่วันนี้จะเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนมาตรการ Uptick Rule มีผล น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการเร่ง Cover Short หุ้นพื้นฐานดี ที่มียอด Short คงค้างสูงๆ ฟื้นตัวหนุนตลาด วันนี้ ติดตาม FETCO เข้าพบกระทรวงการคลัง ลุ้นมาตรการขับเคลื่อนตลาดหุ้นเพิ่มเติม มอง SET ฟื้นตัว หุ้นนำ คือ กลุ่มที่คาดเห็นการ Cover Short ทั้งฝั่งที่มีพื้นฐานดี และ YTD ปรับลงมากกว่า SET รวมถึงกลุ่มที่มีน้ำหนักใน THAIESG สูง กลุ่มโรงไฟฟ้า (ก๊าซลง, Yield ลง) กลุ่มการบิน (อินเดีย ฟรีวีซ่าคนไทย) วันนี้แนะนำ GULF, HANA, TOP

Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1315/1320 จุด รับ 1305/1300 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones +0.09% S&P500 +0.09%, Nasdaq +0.3% โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Real estate, Consumer discretionary , ICT ฯลฯ โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ Consumer staples, Materials ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆคือ กลุ่ม Semiconductor อาทิ Super Micro computer +7.3%, AMD+1.23% มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย เน้น KCE, HANA , และ Amazon+3.9% ฯลฯ

•(*) US GDP : GDP 1Q24 รายงานครั้งสุดท้ายปรับเพิ่มขึ้นจาก +1.3%q-q เป็น +1.4%q-q ต่ำคาดเล็กน้อยที่ +1.5%y-y ( ปรับขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ แต่จุดสำคัญคือ ฝั่งการบริโภคภาคบริการถูกปรับลดลง 2.) ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือน พ.ค.-1.5%y-y และทรงตัว m-m และ Core Capital Goods Orders เดือนเดียวกัน -0.2%y-y และ -0.6%m-m ต่ำกว่าคาด ผลจากสินค้าทุนที่ไม่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศลดลง และคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ลดลง Nondefense Aircraft and Parts -2.8%และ Aircraft -3.3% ส่วนสินค้าที่ขยายตัวคือ , Computer +1.3% และ Motor Vehicles โดยตัวเลขที่ชะลอสะท้อนถึงความต้องการสินค้าคงทนที่อาจกำลังชะลอตัวบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของการลงทุนในภาคธุรกิจ 3.) ยอดผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก(Initial Jobless Claims) สัปดาห์ล่าสุด + 2.33 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.36 แสนราย และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.36 แสนราย ตัวเลขที่ออกมาจะดีกว่าคาดเล็กน้อยสะท้อนภาคแรงงานสหรัฐยังอยู่ในจุดสมดุล แต่ยังไม่อยู่ระดับที่น่ากังวล KSS ประเมินสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)

• (*) US PCE : ติดตามรายงานเงินเฟ้อ PCE พ.ค. คาด +2.6%y-y, +0.0%m-m ใกล้เคียงกับ Top ranks vs prev. +2.7%y-y, +0.3%m-m และ Core PCE คาด 0.1%m-m และ 2.6%y-y KSS ประเมินโอกาสูงที่จะดีกว่าคาดหรือ Inline จากภาพตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภาคอสังหาห์ ทั้ง mortgage rate 30 ปีที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง (มีความสัมพันธ์ในทางเดียวกับเงินเฟ้อหมวด Shelter) และราคาพลังงาน อาทิ น้ำมันที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูง ฯลฯ คาดเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และหุ้น High growth หุ้นชิ้นส่วน กลุ่มการเงิน และ โรงไฟฟ้า

• (*) US Election : วันนี้ช่วง 8 โมงเช้าเวลาไทย หรือ 2 ทุ่มเวลาสหรัฐติดตาม การ Debate ยกแรกนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีนายโจ ไบเดน (พรรค Democrat) VS. นายโดนัลด์ ทรัมป์ (พรรค Replican) KSS ประเมินนโยบายจะเหมือนกันคือ การเดินหน้ากีดกันการค้าสหรัฐ - จีน มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และหากพิจารณาในปีนี้ตั้งแต่ต้นปี - ปัจจุบัน นโยบายฝั่ง Donald Trump ให้ความเห็นนโยบาย คือ 1.) สนับสนุนการใช้ Cryto Currency (มองบวกต่อหุ้นที่เชื่อม Crypto ระยะกลางยาว) 2.) ภาษีเงินได้นิติบุคคล: เสนอการลดภาษีนิติบุคคลลงต่ำกว่าระดับ 21% ในปัจจุบัน ประเมินที่ 20% (บวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ และบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานธุรกิจสหรัฐ อาทิ IVL

• (*) US Bond Yields & Dollar : แนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง ระยะสั้นปรับลงอายุ 2 ปี -1 bps ลงมาอยู่ที่ 4.70% ส่วนอายุ 10 ปี ปรับลง -3 bps อยู่ที่ 4.29% เช่นเดียวกับ Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มแกว่งตัวแข็งค่า บริเวณ 105.5+/- จุด

• (*) To monitor : ติดตาม 28 มิ.ย. ติดตามการประชุมคณะกรรมการสหภาพยุโรป 1 ก.ค. ตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน มิ.ย. จีน, ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐ

• (+) Oil : ราคาน้ำมันดิบยังผันผวนรายวัน ล่าสุดบวกแรงอีกครั้ง อิง Brent +1.34%d-d ปิดที่ US$ 86.39/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.04%d-d ปิดที่ US$ 81.74/barrel แรงหนุนหลักจากความตึงเครียดสงครามในตะวันออกกลาง อิสราเอลได้ส่งกองกําลังไปทางเหนือเนื่องจากการโจมตีข้ามพรมแดนเลบานอนเพิ่มขึ้นมองจิตวิทยาบวกต่อ SET index และหุ้นพลังงานต้นน้ำไทยวันนี้ อาทิ PTTEP, PTT กลุ่มโรงกลั่น TOP, SPRC

•(+) World Container Index : แนวโน้มเป็นขาขึ้น ปรับขึ้น 10 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด +4%w-w อยู่ที่ 5,318 เหรียญต่อ 40 ft และปรับขึ้นต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) KSS ยังคงมุมมองค่าระวางเรือในช่วงสั้น Upside ระยะสั้นจากความตึงเครียดตะวันออกกลาง ยังแนะนำเพียง Trading

• (+) Sugar price : ราคาน้ำตาล +3.59%d-d ปิดที่ 20.21US$/lb มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นน้ำตาล ในวันนี้ อาทิ KSL , KTIS , KBS แนะนำ trading

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index เคลื่อนไหวผันผวน จากแรงกดดัน US Bond Yield เร่งขึ้น กดดันเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่ช่วงท้ายมีการ Rollover TFEX กลุ่มหนุน คือ กลุ่ม ร.พ. (BDMS, BH) เด่นในฐานะหุ้น Defensive วันที่ตลาดผันผวน และมีประเด็นบวกฝั่ง ร.พ. ประกันสังคม ที่ ร.พ.มงกุฎวัฒนะ มีแผนยกเลิกบริการประกันสังคม กลุ่มบันเทิง (VGI) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (EA, GULF) จิตวิทยาลบ US Bond Yield เร่งขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า กลุ่มธนาคาร (SCB, BBL) KSS คาดกำไร 2Q24F ไม่สดใส BBL คาด -11.5%y-y , -5%q-q SC -11.5%y-y , -6.9%q-q

• (*/-) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -64.8 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 26 วันทำการต่อเนื่อง ขายพันธบัตร -114.7 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -9,481 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 36.8 +/- บาท

• (*/+) TH Tourism: รัฐบาลอินเดียประกาศให้คนไทยเดินทางเข้าอินเดีย โดยไม่ต้องขอวีซ่า สามารถอยู่ในประเทศอินเดียนาน 6 เดือน มีผล 1 ก.ค. มองบวกหุ้นกลุ่มการบิน อาทิ AOT จาก Upside จำนวนนักท่องเที่ยวขาออก สายการบินที่มีเที่ยวบินไปอินเดีย ในส่วน AAV เน้น AOT

• (*/+) Short Sales: จำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างวานนี้ที่ 410 บริษัท หากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงยอด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะ / ทุนชำระแล้ว สิ้นสุด วันที่ 27 มิ.ย. vs 26 มิ.ย. พบว่า จำนวนหุ้นที่มียอด Short ส่วนใหญ่คงที่ 192 บริษัท ขณะที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 180 บริษัท ลดลง 38 บริษัท โดยวันนี้จะเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนที่มาตรการ Uptick Rule จะเริ่มมีผล 1 ก.ค. เรามองหุ้นที่มีพื้นฐานระยะยาวแข็งแกร่ง ปรับฐานลึกกว่าตลาด และยอด Short Sales ที่ยังไม่ปิดสถานะสูงเกิน 1% มีโอกาสเห็นการ Cover Short ได้แก่ HANA (ยอด Short Sales ที่ยังไม่ปิดสถานะ/ทุนชำระแล้ว 2.85%, YTD -13.2% vs SET -7.4%) IVL( -27%, 1.08%) COM7 (-26.5%, 1.75%) BTS (-36.6%, 1.54%) BCH (-21%, 1.26%) GPSC (-17%, 1.26%) AMATA (-17.4%, 1.16%) CRC (-25%, 1.1%) AP (-28.8%, 1.03%), BGRIM (-19.6%, 1.0%) รวมถึงกลุ่มที่มีน้ำหนักใน SETESG สูง ขณะทีมียอด Short สูง TOP (น้ำหนักใน SETESG 1.1%, ยอด Short Sales ที่ยังไม่ปิดสถานะ/ทุนชำระแล้ว 2.66% (AOT 7.7%, 1.09%)

• (*/-) TH Econ: ก.การคลัง เตรียมหารือแบงก์ชาติ เกี่ยวกับกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย โดยมี 2 แนวทาง คือกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อตามเดิมคือ 1-3% หรือ กำหนดจากค่ากลางเช่น 2% (+/-0.5)** บ่งชี้ภาครัฐเร่งกดดันแบงก์ชาติโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่กับมาตรการกระตุ้นทางการคลังกับทางภาครัฐ มองจิตวิทยาลบต่อตลาด

• (*) Bank 2Q24F Earnings Preview: นักวิเคราะห์ทางพื้นฐาน KSS คาดการณ์กำไรกลุ่มธนาคารที่ Cover จำนวน 7 ธนาคาร จะรายงานงวด 2Q24F ที่ 5.09 หมื่นล้านบาท ลดลง -3%y-y และ -7%q-q เชิงกลยุทธ์เรามองธนาคารน่าเก็งกำไร คือ กลุ่มที่คาดกำไรเด่น +y-y, q-q คือ TTB และกลุ่มที่กำไรเติบโต y-y ได้ ในส่วน KTB

• (*/+) To Monitor: วันนี้ (28 มิ.ย.) ติดตาม 1) BOT รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. 24 2) FETCO เข้าพบกระทรวงการคลังหารือมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน และ 3) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม พ.ค. 24 ตลาดคาด +2.2%y-y prev. +3.4% ส่วนสัปดาห์หน้า ต้นสัปดาห์ ติดตามความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้นมองเน้นไปที่ การท่องเที่ยว (AOT) บริโภค (CPALL, DOHOME) อสังหา (AP, SIRI) 3 ก.ค. การพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล คาดน่าจะมีความชัดเจนวันวินิจฉัยคดี 5 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. 24 ตลาดคาด 1.0%y-y vs prev. 1.54%

 

Daily Strategy : GULF HANA TOP เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัว" ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นกลาง-บวกอ่อนๆ หลัง US Bond Yield 10ปีกลับมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 4.3% ตามภาพรวมสัญญาณภาคแรงงานสหรัฐฯอ่อนลง ขณะที่ภายในผ่านช่วง Rollover TFEX ที่สร้างความผันผวนไปแล้ว ขณะที่วันนี้จะเป็นวันทำการสุดท้ายก่อน Uptick Rule มีผล มองหุ้นนำ 1) กลุ่มที่คาดเห็นการ Cover Short 2) กลุ่มอิงภาคผลิต อาทิ อาหาร ชิ้นส่วนฯ วันนี้ติดตามยอดผลผลิตอุตสาหกรรม คาด ขยายตัว y-y ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อิงทิศทางยอดส่งออก พ.ค. ที่ออกมาดี 3) รายกลุ่มที่มีประเด็นเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า (ก๊าซลง, Yield ลง) กลุ่มการบิน (อินเดีย ฟรีวีซ่าคนไทย)

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO OSP SAPPPE ICHI)

• JUNE24 Best Picks: MINT, GFPT, HANA, ICHI, OSP, BJC, MTC

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

Tactical & Investment Idea

Research Highlight

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

 

•SCGP (Trading Buy, TP38.5): มอง slightly positive ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวที่เร่งขึ้นใน 2H24F ของ SCGP หนุนจากทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและพลาสติก รวมถึงธุรกิจเยื่อ (Fibrous) ตามความต้องการใช้ที่ฟื้นตัวของภูมิภาคอาเซียน และจีน คาดหนุนปริมาณขาย, economies of scale และการปรับราคาขายดีขึ้น y-y ได้ต่อเนื่อง มองช่วง 2Q24F ที่กำไรชะลอ q-q จากมีปิดซ่อมโรง Fibrous และเป็นช่วงที่ตลาดไทยและอินโดฯมีหยุดยาวส่งให้การใช้บรรจุภัณฑ์ชะลอชั่วคราว จะเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวใน 2H24-2025F ที่ปริมาณขายและอัตรากำไรอยู่ในขาฟื้นตัว และอาจมี upside จาก M&P คงคำแนะนำ Trading Buy ที่ TP24F = 38.50 บาท/หุ้น

•BANK (Neutral): เราคาดธนาคารที่ศึกษารายงานกำไรสุทธิ 2Q24F ที่ 5.09 หมื่นลบ. กำไรลดลง -3% y-y และ -7% q-q เพราะ i) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ii) สินเชื่อรวมลดลง -0.6% q-q จากทุกกลุ่มสินเชื่อ iii) การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ iv) การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio ที่ 3.68% เพิ่มจาก 1Q24 ที่ 3.61% จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ธนาคารที่รายงานกำไรสุทธิ 2Q24F เติบโต y-y และ q-q มีเพียงธนาคารเดียวคือ TTB สำหรับธนาคารรายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น y-y ลดลง q-q คือ KBANK และ KTB ส่วนธนาคารรายงานกำไรสุทธิลดลง y-y และ q-q คือ BBL, SCB, KKP และ TISCO ภาพรวมกลุ่ม i) คาด NIM ลงตลอดปี 2024F ii) ปี 2024F กำไรสุทธิและ ROE คาดเติบโตช้าลง iii) มีความเสี่ยงเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตามกลุ่มธนาคารมีปันผลที่น่าสนใจ dividend yield ที่ 3-10% ต่อปี โดย 1H24F คาดจ่ายปันผล dividend yield ที่ 0.4-3.2% ดังนั้นคงน้ำหนักการลงทุนเป็น NEUTRAL และคง KTB และ TTB เป็น Top Pick

•KTB (Buy, TP21): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 1.03 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +1% y-y จากการเพิ่มขึ้นของ yield on loan และ Bancassurance ขณะที่กำไรลดลง -7% q-q จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน และการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม อย่าง Bancassurance และเงินลงทุน สำหรับสินเชื่อหดตัว -1.5% q-q คิดเป็น +0.1% YTD ตามสินเชื่อภาครัฐ ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 3.20% เพิ่มจาก 1Q24 ที่ 3.14% ตามความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาพรวมเราชอบ KTB และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ TTB (BUY, TP 2.2 บ.) เพราะกำไรสุทธิปี 2024F เติบโตเด่น +11%y-y มากกว่ากลุ่มธนาคารที่ +6%y-y และได้ผลบวกจากงบประมาณภาครัฐใน 2H24F

•EURO (Buy, TP21):


2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

รอ เฟด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ ออกมาเปิดเผย CPI เดือน เม.ย. -0.22%YoY จากตลาดคาด -0.1%....

ดันต่อ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ หุ้นใหญ่ หน้าเดิม ดันSET ฝ่า 1,200 จุด ต่อ การสลับหน้าที่กันไป ห้วงระหว่างอยู่ ผลการ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้