Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

597


"THB Weakening + Defensive Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งผันผวน" ต้าน 1330/1340 จุด รับ 1310/1300 จุด ดัชนี S&P500 ปรับขึ้นเล็กๆ +0.16% แม้ US Bond Yield 10 ปี +8 bps สู่ 4.34% ตอบรับความเห็นประธานเฟดสาขาต่างๆ ที่ให้ภาพ Hawkish ทั้งนี้ เรามองเป็นเพียง Bond Yield Rebound เนื่องจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจหลักๆ บ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อน่าจะชะลอลง อาทิ Mortgage Rate 30 ปีต่ำกว่า 7% เป็นสัปดาห์ที่ 2 และการประมูลพันธบัตรสหรัฐฯระยะสั้น-กลาง Yield ลดลงต่อเนื่อง ส่วนวันนี้ติดตามการ Debate ประธานาธิบดีสหรัฐฯ + พรุ่งนี้ เงินเฟ้อ PCE พ.ค. 24 อย่างไรก็ดี Yield ที่เร่งขึ้น กดดันค่าเงิน Asia รวมถึงเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าสู่ 36.9 +/- บาท เป็นปัจจัยลบอ่อนๆ ส่วนภายในวันนี้ความผันผวนจากการ Rollover TFEX จาก Series M ไป U ช่วงท้ายตลาด แต่กลยุทธ์แนะ "อยู่ฝั่งซื้อ" คาดการ Cover Short ยังเร่งก่อนเกณฑ์ Uptick Rule มีผล 1 ก.ค. ผสาน รัฐยืนยันการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม (คาดหลังประชุม ครม.เศรษฐกิจวันจันทร์หน้า) กลุ่มเด่นคือกลุ่มอิงเงินบาทอ่อนค่า กลุ่มเกาะกระแสนโยบาย Cloud First ของรัฐ รวมถึงกลุ่ม Domestic Plays วันนี้แนะนำ BCH, CPF, GFPT

 

Daily outlook: "แกว่งผันผวน" ต้าน 1325/1330 จุด รับ 1313/1310 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones 004% S&P500 +0.16%, Nasdaq +0.48% โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Consumer discretionary , IT ICT โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ Energy, Financial ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆคือ Tesla +4.83%, Amazon+3.9% Apple +1.9%

•(+)Logistic & Packaging : หุ้น FedEx ให้บริการจัดส่งพัสดุและสินค้าระหว่างประเทศรายใหญ่ของสหรัฐ +15% รับข่าวบริษัทรายงานกำไรและรายได้งวด 4Q24 สูงกว่าคาด 1.1% KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้น Packing ในไทยคาดจะได้อาทิสงค์บวกตาม อาทิ SCGP

• (*) US Election : วันนี้ติดตาม 27 มิ.ย.การ Debate ยกแรกนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีระหว่างผู้ระธานาธิบดีนายโจ ไบเดน (พรรค Democrat) VS. นายโดนัลด์ ทรัมป์ (พรรค Replican) KSS ประเมินนโยบายที่คาดจะเหมือนกันคือ การเดินหน้ากีดกันการค้าสหรัฐ - จีน มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และหากพิจารณาในปีนี้ตั้งแต่ต้นปี - ปัจจุบัน นโยบายฝั่ง Donald Trump ให้ความเห็นนโยบาย คือ 1.) สนับสนุนการใช้ Cryto Currency (มองบวกต่อหุ้นที่เชื่อม Crypto ระยะกลางยาว) 2.) ภาษีเงินได้นิติบุคคล: เสนอการลดภาษีนิติบุคคลลงต่ำกว่าระดับ 21% ในปัจจุบัน ประเมินที่ 20% (บวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ และบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานธุรกิจสหรัฐ อาทิ IVL, PTTGC

• (*/+) US Hosing : 1.)ยอดขายบ้านใหม่ (New home sales) เดือน พ.ค. ปรับลง 2 เดือนลดลงสู่ระดับ 6.19 แสนหลัง -11.3%m-m และ 16.5%y-y ต่ำสุดในรอบ 6 เดือนและ ต่ำกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 6.4 แสนหลัง (ผลจากราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยจดจำนองยังอยู่ในระดับสูง 2.) MBA Mort gage rate 30 ปี ปรับลงต่อมาอยู่ที่ 6.93% (ต่ำสุดในรอบ 2 เดือนและชะลอจากสัปดาห์ก่อนที่ 6.64%) โดยรวม KSS ประเมินสะท้อนอัตราดอกเบี้ยภาคอสังหาอ่อนตัวลง ย้ำมุมมองภาพเงินเฟ้อฝั่ง Shelter ที่มีความหนืด (Sticky) สูงระยะถัดไปลดลง ย้ำภาพดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง

• (*) ECB : คุณ Olli Rehn สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ECB เผยคาดการณ์ของตลาดที่คาด ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ถือว่าเหมาะสม อิง MUFG คาด ECB จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วง ก.ย. 24 โดยรวมดอกเบี้ยที่เป็นขาลงมองบวกเศรษฐกิจยุโรปและบวกต่อหุ้นทีมีรายได้ในยุโรป อาทิ XO(70%ของรายได้รวม), MINT(50%) SHR(40%), IVL (22%) CRC(6%) เน้นลงทุน MINT

• (+) Japan Consumption : ยอดค้าปลีกญี่ปุ่น เดือน พ.ค. รายงานเช้านี้ ขยายตัว 2 เดือนติดต่อกัน + 3%y-y ดีกว่าที่ตลาดคาด 2% ผลจาก เพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำของญี่ปุ่นช่วง เดือน มี.ค. ภาพเศรษฐกิจการบริโภคญี่ปุ่นดี มองบวกต่อบริษัทจดทะเบียนไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่น เน้น GFPT

• (*) US Bond Yields & Dollar : แนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง แต่ระยะสั้นปรับขึ้นอายุ 2 ปีฟื้นตัวย +5 bps ลงมาอยู่ที่ 4.75% ส่วนอายุ 10 ปี ปรับขึ้น +8 bps อยู่ที่ 4.34%เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นประกันชีวิต BLA TLI และกลุ่มธนาคาร เน้น KBANK, TTB เช่นเดียวกับ Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มแข็งค่า ล่าสุดบริเวณ 105.7+/- จุด

• (*) To monitor : ติดตาม 27 มิ.ย. ติดตาม GDP 1Q24 รายงานครั้งสุดท้าย คาด +1.5%y-y 28 มิ.ย. ติดตามเงินเฟ้อ PCE พ.ค. คาด +2.6%y-y, +0.0%m-m vs prev. +2.7%y-y, +0.3%m-m 27 - 28 มิ.ย. ติดตามการประชุมคณะกรรมการสหภาพยุโรป

• (*) Oil : ราคาน้ำมันดิบ Brent +0.28%d-d ปิดที่ US$ 85.25/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.09%d-d ปิดที่ US$ 80.9/barrel

• (*/+) Gas ราคาก๊าซธรรมชาติเมื่อวานปรับลงแรง NYMEX -4.12%d-d ปิดที่ US$2.745/MMBtu เช่นเดียวกับราคาก๊าซในฝั่งยุโรป อิง (Netherland TTF) -2.3%d-d ล่าสุดอยู่ที่ 34.0 ยูโรต่อเมกะวัตต์ แรงกดดันหลักๆมาจาก ล่าสุด พายุโซนร้อนในอ่าวเม็กซิโก และหน้าร้อนในฝั่งยุโรปทำให้คาดการณ์ Demand ลดลง ผสานกับประเด็นการเมืองในยุโรปเริ่มผ่อนคลาย โดยรวม KSS มองจิตวิทบวกต่อหุ้นในวันนี้คือ 1.)หุ้นที่ธุรกิจเชื่อมโยงในยุโรป อาทิ XO SHR MINT IVL CRC 2.)หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนจากก๊าซ อาทิ GULF, BGRIM, GPSC

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดทั้งวันทำการ ก่อนปิดทรงตัว +0.01 จุด ที่ 1319.15 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (GULF) ปรับขึ้นรับข่าวเข้าร่วมเป็น Partner ทางธุรกิจกับ Google เพื่อให้บริการ Cloud service ในประเทศไทย และเป็นการเปิดทางธุรกิจสู่ธุรกิจ Data Center ในอนาคตซึ่งจะสร้าง Synergy และ New S-Curve ให้กับ GULF ขณะเดียวกันการเร่งออก Direct PPA ของภาครัฐเพื่อรองรับการมาของธุรกิจ Data Center ในอนาคตจะเป็นบวกต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าของ GULF ที่มุ่งเน้นการจัดหาพลังงานด้าน Green Energy มากที่สุดของกลุ่ม กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) ปรับขึ้นเด่นโดยเฉพาะ TRUE เราให้น้ำหนักในเชิงพื้นฐานเป็นสำคัญโดยคาดแนวโน้มรายได้และกำไรใน 2Q24 โตดีต่อเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจลดลง โดยมองภาพขาขึ้นของ 5G Cycle พึ่งเริ่มต้น กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) มีจิตวิทยาลบจากกระแสข่าว น.ส. ศิริกัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะยื่นศาลปกครองเพื่อให้ระงับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต ประกอบกับนักลงทุนผิดหวังภาครัฐยังไม่แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้น กลาง และ ยาว ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ กลุ่มอสังหาฯ (CPN, LH)

• (*/-) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ขายหุ้น -22.6 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 25 วันทำการต่อเนื่อง แต่ซื้อพันธบัตร -4.9 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -9,371 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 36.9 +/- บาท

• (*/+) Manufacturing: ข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) พบว่า ช่วง 5M24 มีจำนวนโรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิดถึง 74% ทั้งนี้ มูลค่าโรงงานที่เปิดใหม่สูง 1.49 แสนล้านบาท มากกว่ามูลค่าโรงงานที่ปิดตัวลงกว่า 10 เท่า อุตสาหกรรมที่มีการเปิดโรงงานใหม่สูง ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ปุ๋ยเคมี และกลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า+อุปกรณ์ เช่น PCB

เรามองเป็นสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องภาคผลิต โดยในส่วนภาคผลิตจับตายอดผลผลิตอุตสาหกรรมที่จะรายงาน 28 มิ.ย. มีโอกาสสูงคาดฟื้นตัว y-y ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ทิศทางดังกล่าวถือเป็นบวกต่อตลาดที่ยังขาดความเชื่อมั่นต่อภาคผลิตไทย สะท้อนปรับลด GDP ไทยของ Consensus ระยะหลัง โดยมองอนุรักษ์นิยมขึ้นต่อปัจจัยดังกล่าว ซึ่งอาจจะกลายเป็น Upside ภายหลังได้ โดยเฉพาะโมเมนตัมบวกภาคผลิตโลกที่คาดฟื้นตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี อุตสาหกรรมที่เห็นยอดการเปิดโรงงานใหม่สูง อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป และกลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า+อุปกรณ์ เช่น PCB บ่งชี้ถึง Demand อุตสาหกรรมคาดเป็น Upcycle หนุนจิตวิทยาบวกหุ้นหลักในอุตสาหกรรม อาทิ ITC AAI (อาหารสัตว์เลี้ยง) และ KCE HANA (เครื่องใช้ไฟฟ้า+อุปกรณ์)

• (*/+) Cloud First: ครม.ไฟเขียวตั้งบอร์ดใช้ Cloud เป็นหลัก (Cloud First) หนุนการใช้ Cloud ของรัฐฯ เรามองเป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนการลงทุน Data Center ระยะถัดไปเพิ่มขึ้น จิตวิทยาบวกต่อ GULF, ADVANC, TRUE, INSET, และงาน IT เพิ่มขึ้นจากการย้ายฐานข้อมูลต่างๆ ขึ้นสู่ระบบ Cloud รวมถึงการลงทุนระบบเชื่อมต่อต่างๆ และการต่อยอด Application ลักษณะ AI เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยรวมมองน่าจะช่วยแรงกดดันปริมาณงานในระบบที่ลดลงและนำมาสู่การแข่งขันเพิ่มระยะหลังคลายตัว มองบวกต่อ BE8 และ BBIK (แม้ไม่ได้รับงานรัฐฯ แต่เชื่อเอกชนน่าจะต้องเร่งลงทุนระบบเชื่อมต่องานรัฐฯให้มีประสิทธิภาพ

• (*) Government Stimulus : รมช.คลัง ยืนยันว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมระหว่างรอนโยบาย Digital Wallet มีผล โดยอยูระหว่างนำเสนอ ครม. เศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังยืนยันแนวคิดการฟื้นกองทุนเพื่อการลงทุนระยะยาวในรูปแบบของกองทุนวายุภักษ์ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ขณะที่ในกรณี น.ส. ศิริกัญญา ส.ส. พรรคก้าวไกล เตรียมจะยื่นศาลปกครองเพื่อให้ระงับโครงการ Digital Wallet เรามองเป็นเพียงจิตวิทยาลบต่อกลุ่มค้าปลีก หากโครงการดังกล่าวต้องสะดุด เนื่องจากประมาณการตลาดและเราไม่รวมผลบวกดังกล่าวเอาไว้อยู่แล้ว โดยเราให้น้ำหนักต่อเรื่องมาตรการใหม่สูงกว่า เชิงกลยุทธ์ หากหุ้นค้าปลีกอ่อนตัว แนะนำทยอยสะสมหากหุ้นอ่อนตัวรับข่าว เน้น CPALL, DOHOME, BJC ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่มีโอกาสเห็นมาตรการกระตุ้น อาทิ ท่องเที่ยว เน้น AOT อสังหา เน้น AP, SIRI

• (*/+) Short Sales: จำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างวานนี้ที่ 412 บริษัท หากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงยอด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะ / ทุนชำระแล้ว สิ้นสุด วันที่ 26 มิ.ย. vs 25 มิ.ย. พบว่า จำนวนหุ้นที่มียอด Short ส่วนใหญ่คงที่ 228 บริษัท ขณะที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 137 บริษัท ลดลง 47 บริษัท

• (*/+) To Monitor: 28 มิ.ย. ติดตาม 1) BOT รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. 24 2) FETCO เข้าพบกระทรวงการคลังหารือมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน และ 3) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม พ.ค. 24 ตลาดคาด +2.2%y-y prev. +3.4%

• (*/+) TFEX Rollover: สัญญา M24 จะเทรดวันนี้เป็นวันสุดท้าย สถานะล่าสุดสำหรับ S50 Futures ของนักลงทุนแต่ละประเภทในช่วง 29 มี.ค. – 26 มิ.ย. เป็นดังนี้

นักลงทุนต่างชาติ -60,537 สัญญา นักลงทุนสถาบัน -2,608 สัญญา นักลงทุนในประเทศ +63,145 สัญญา และสำหรับ S50M24 ล่าสุดเหลือสถานะคงค้างอยู่ 354,549 สัญญา

ด้านกลยุทธ์ เรามองเนื่องจากสถานะ OI ล่าสุดเหลือค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับวัน Rollover ครั้งก่อนๆ (+/-2.5 แสนสัญญา) ดังนั้นมีโอกาสสูงที่ช่วง Rollover วันนี้จะมีความผันผวนมากเป็นพิเศษ โดยเรามองเป็นความผันผวนเชิงบวก เนื่องจากระดับดัชนีที่ลงมาค่อนข้างต่ำ ทำให้ Hedger อาจเลือกไม่ป้องกันความเสี่ยงเพิ่ม และการเร่ง Cover Short ของนักลงทุนบางส่วนก่อนการประกาศใช้มาตรการกำกับของตลาด

 

Daily Strategy : BCH, CPF, GFPT เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "แกว่งผันผวน" ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นลบอ่อนๆ เงินบาทอ่อนค่าสู่ 36.9 +/- บาท หลัง US Bond Yield เร่งขึ้น จากความเห็นเชิง Hawkish ของประธาน Fed สาขาต่างๆ ระหว่างรออดูผลดีเบต ปธน. สหรัฐในคืนวันนี้ รวมถึงตัวเลข PCE สหรัฐในวันศุกร์ ขณะที่ท้ายตลาดระวังผันผวนจาก TFEX Rollover มองหุ้นนำ 1) กลุ่มเกาะกระแสนโยบาย Cloud First ของรัฐบาลที่คาดมีโมเมนตัมทางบวกต่อจากวานนี้ อาทิ ADVANC TRUE GULF (ตั้งรับ) INSET BE8 BBIK 2) กลุ่มเงินบาทอ่อนค่าหนุน โดยเฉพาะส่งออกอาหาร เครื่องดื่ม อาทิ CPF GFPT ITC 3) กลุ่ม Domestic ท่องเที่ยว ค้าปลีก อสังหาฯ ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีโอกาสชัดเจนต้นสัปดาห์หน้า 4) กลุ่ม Defensive ร.พ. ประกันสังคมที่มีกระแสทางบวกโอกาสได้ลูกค้า ร.พ. มงกุฏวัฒนะ

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO OSP SAPPPE ICHI)

• JUNE24 Best Picks: MINT, GFPT, HANA, ICHI, OSP, BJC, MTC

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

 


•Healthcare (Bullish): เรามองว่า BCH และ BDMS มีโอกาสได้รับผู้ประกันตนเพิ่มเติม หลังจาก รพ.มงกุฎวัฒนะถอนตัวจากการเป็นรพ.คู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม (มีผลกลางปี 25) เนื่องจาก BCH และ BDMS มีเครือข่าย รพ.ในพื้นที่ใกล้เคียง รพ.มงกุฎวัฒนะ และมีโควต้าเหลือสามารถรองรับผู้ประกันตนที่ต้องเปลี่ยรพ.ใหม่ นอกจากนี้พิจารณาจากรายได้ลูกค้าประกันสังคมใน 1Q24 BCH มีสัดส่วน 34.3% และ BDMS มีสัดส่วน 2% เรามองว่าหากทั้ง 2 รพ. มีผู้ประกันตนของ รพ.มงกุฎวัฒนะเปลี่ยนมาใช้บริการแทน จะเป็นบวกต่อ BCH มากกว่า BDMS คงคำแนะนำ Bullish ต่อกลุ่มการแพทย์ หุ้นเด่น BDMS (TP 37 บาท) และ CHG (TP 3.70 บาท)

•NEO (Buy, TP63): We maintain our positive outlook on NEO based on i) Expect 2Q24F net profit to show strong growth of +78% YoY, with continued qoq growth despite a high base. For the full year 2024F, we project growth of +26% YoY, reaching Bt1bn in earnings, driven by revenue growth and sustained high margins. ii) NEO's stock price has risen but valuation remains attractive at 17x forward P/E, compared to the sector average of 18-20x. We reiterate our BUY rating for NEO with a target price of Bt63.

• SCB (Trading Buy, TP115):เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 1.05 หมื่นลบ. กำไรลดลง -12% y-y และ -7% q-q เพราะ i) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ii) รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง iii) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น สำหรับสินเชื่อเพิ่มขึ้น +0.3%q-q คิดเป็น +1.2%YTD จากสินเชื่อธุรกิจ และด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 3.60% เพิ่มจาก 2Q24 ที่ 3.52% ตามความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาพรวมเรามองว่า SCB มีจุดเด่นเรื่องปันผล dividend yield ประมาณ 8-10% ต่อปี ซึ่งสูงสุดในกลุ่มธนาคาร

• BBL (Buy, TP170): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 1.00 หมื่นลบ. กำไรลดลง -12% y-y และ -5% q-q เพราะ i) สินเชื่อหดตัว -0.7% q-q จากสินเชื่อภาคธุรกิจรายใหญ่ และสินเชื่อต่างประเทศ ii) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น iii) รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง iv) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 3.10% เพิ่มจาก 1Q24 ที่ 3.00% ตามความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาพรวม BBL เรามองว่ามีความเพียงพอของสำรองต่อพอร์ตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร เห็นได้จาก Coverage Ratio คงระดับสูงที่ราว 270-280%

 

2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้