"ThaiESGPlay"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัวได้ต่อ" ต้าน 1325/1330 จุด รับ 1305/1300จุด ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปิดผสมผสาน Dow Jones บวก +0.67%, Nasdaq -1.07% หุ้นเทคโนโลยีถูกขายทำกำไรต่อเนื่อง กลุ่มพลังงาน ธนาคาร สลับมานำตลาด จิตวิทยาบวกต่อ SET ที่มีสัดส่วนธนาคาร+พลังงานต้นน้ำ (22% ของมูลค่าตลาด) เสริมภายในที่เป็นบวก รัฐบาลเตรียมยกระดับเงื่อนไขกองทุนระยะยาว ThaiESG ให้สิทธิ์ซื้อลดหย่อนภาษี 3.0 แสนบาท vs ปัจจุบัน 1.0 แสนบาท แม้น้อยกว่า LTF ที่ 5.0 แสนบาท แต่ขยายสัดส่วนการซื้อต่อรายได้ไม่เกิน 30% จาก LTF ที่ 15% มองจูงใจกลุ่มที่มีรายได้ต่อปี 7.5 แสน-1 ล้านบาท ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุด ขณะที่ถือครอง 5 ปี (ใกล้เคียง LTF) คาดหนุนเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาด 7.8 หมื่นล้านบาท และส่วนใหญ่คาดลงทุนในตลาดหุ้น ผสาน วันนี้รัฐบาลแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ สั้น กลาง ยาว ที่รัฐบาล คาดหนุนความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่อง มอง SET ฟื้นตัวต่อ หุ้นนำ คือ กลุ่มปรับฐานลึก+มีน้ำหนัก Thai ESG สูง+Short ยังไม่ปิดสถานะมาก และ กลุ่ม Bond Yield ไทยแกว่งลงต่อเนื่องหนุน (ล่าสุด 2.69% vs พีครอบนี้ 2.86%) วันนี้แนะนำ AOT, BTS, MTC
Daily outlook: "ฟื้นตัวได้ต่อ" ต้าน 1325/1330 จุด รับ 1305/1300 จุด
What happened around the world ?
• (*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐสวนทางกัน โดยสัปดาห์ตลาดรอ 2 ประเด็นสำคัญคือ การ Debate ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐ 27 มิ.ย. และรอตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐ (28 มิ.ย.) อิง Dow jones +0.67%(หนุนจาก Goldman sach +2.65%, JP Morgan +1.3%, Walmart +1.3%) แต่S&P500 -0.31%, Nasdaq -1.07% โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Energy (Chevron +2.6%,) , Utilities ,Consumer staples, Financials ฯลฯ โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ IT, Consumer Discretionary ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆคือ กลุ่ม Semiconductor ยังถูก Take profit ต่อ, NVDIA -6.7%, Super Micro computer -8.6% Broadcom -3.7% ฯลฯ
• (*) US Election : ติดตาม 27 มิ.ย.รอดูการ Debate ยกแรกระหว่างผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ก่อนจะมีการเลือกตั้งต้นเดือน พ.ย.2024 คือ ประธานาธิบดีนายโจ ไบเดน (พรรค Democrat) VS. นายโดนัลด์ ทรัมป์ (พรรค Replican) อิงจาก Poll สำรวจ คะแนนความนิยมสูสีกัน KSS แนะนำให้ติดตามดูนโยบายที่จะหาเสียงของ 2 ท่านในรอบนี้จะมีอะไรแตกต่างจากการเลือกตั้งในปี 2020 KSS ประเมินนโยบายที่คาดจะเหมือนกันคือ การเดินหน้ากีดกันการค้าสหรัฐ - จีน มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และหากพิจารณาในปีนี้ตั้งแต่ต้นปี - ปัจจุบัน นโยบายฝั่ง Donald Trump ประกาศความชัดเจน 2 นโยบาย คือ 1.) Cryto Currency (นโยบายใหม่ ) สนับสนุนการใช้ Cryto Currency (มองบวกต่อหุ้นที่เชื่อม Crypto ระยะกลางยาว) 2.) ภาษีเงินได้นิติบุคคล: เสนอการลดภาษีนิติบุคคลลงต่ำกว่าระดับ 21% ในปัจจุบัน ประเมินที่ 20% (บวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ และบริษัทจดทะเบียนที่มีฐานธุรกิจสหรัฐ อาทิ IVL, PTTGC ฯลฯ ส่วนฝั่ง Joe Biden ยังไม่ชัดเจนในนโยบาย
• (*/+) Fed Speaks : คุณ Mary Daly ประธาน Fed สาขา Sanfrancisco (Voter) เผยมุมมองอัตราดอกเบี้ย ณ. ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะ แต่ประเมินตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนตัว หลังจากทิศทางอัตราการว่างงานสหรัฐอยู่บริเวณ 4% มุมมองถือว่า Dovish กว่าในช่วงก่อน KSS ประเมินย้ำทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มมีโอกาสปรับลง
มองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเริ่มเป็นปัจจัยสร้างความผันผวนมากขึ้นในช่วง 3Q24 เป็นต้นไป MUFG มองไม่ว่าตัวแทนจากพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง แนวนโยบายยังคงเป็นการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน เรามองความแตกต่าง
• (*) US Bond Yields & Dollar : แนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง แต่ระยะสั้นแกว่งตัวออกข้าง อายุ 2 ปีปรับลง -1 bps ลงมาอยู่ที่ 4.72% ส่วนอายุ 10 ปี ปรับลง -2 bps อยู่ที่ 4.23% เช่นเดียวกับ Dollar Indexชะลอการแข็งค่า ล่าสุดบริเวณ 105.1+/- จุด
• (*) To monitor : ติดตาม 25 มิ.ย. ติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board มิ.ย. คาด 100 จุด vs prev. 102 จุด, 27 มิ.ย. ติดตาม GDP 1Q24 รายงานครั้งสุดท้าย คาด +1.5%y-y28 มิ.ย. ติดตามเงินเฟ้อ PCE พ.ค. คาด +2.6%y-y, +0.0%m-m vs prev. +2.7%y-y, +0.3%m-m 27 - 28 มิ.ย. ติดตามการประชุมคณะกรรมการสหภาพยุโรป
• (*/+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.90%d-d ปิดที่ US$ 86.01/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.11%d-d ปิดที่ US$ 81.63/barrel แรงหนุนมาจาก Supply disruption หลังความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและเลบานอนกลับมาอีกครั้ง และฝั่งรัสเซีย-ยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ แห่งยูเครน เผยกลุ่มเคียฟได้โจมตีโรงกลั่นน้ํามัน อาคารผู้โดยสาร และฐานทัพของรัสเซียมากกว่า 30 แห่งมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP กลุ่มโรงกลั่น อาทิ SPRC, TOP
•(*/+)Sugar price : น้ำตาล +2.92%d-d +7.8%mtd ปิดที่ 19.72US$/lb มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นทำธุรกิจน้ำตาล KSL, KTIS, KBS แนะนำเพียง Trading
•(-) Bitcoin price : ราคาบิทคอย พลิกหลุด 6 หมื่นเหรียญ -6.64%d-d ปิดที่ 59,474.73 USD รับข่าวธุรกรรมของวาฬลด 42% ส่งสัญญาณลดความเสี่ยงลง มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อม Bitcoin อาทิ TTA, BROOK, JTS
What happened in Thailand ?
• (+) SET: SET Index ปรับตัวขึ้น +10.32 จุด หรือ +0.79% ปิดที่ 1317 จุด เก็งกำไรดักทางรัฐบาลเตรียมแถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนช่วงเย็น ผสาน แรงซื้อคืนหุ้น (Cover Short) หุ้น ก่อนที่มาตรการ Uptick Rule จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค. 24
กลุ่มหนุนดัชนี คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) มองทั้งการเก็งหุ้นที่อยู่ในดัชนี ThaiESG ที่ตลาดมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มน้ำหนัก จากกระแสข่าวรัฐเพิ่มสิทธิ์การซื้อเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี และ การดักก่อนที่รัฐบาลจะแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น – กลาง - ยาว กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) มองตามน้ำหนักที่สูงในดัชนี ThaiESG ปัจจุบัน รวมถึงจิตวิทยาบวกเศรษฐกิจสหรัฐฯยังส่งสัญญาณขยายตัวดีกว่าตลาดประเมิน หนุนโภคภัณฑ์ระยะถัดไป
กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) กังวลข่าวเรียกคืนพื้นที่เช่าจากผู้เช่าในสนามบินสุวรรณภูมิ และภูเก็ต เพื่อปรับปรุงพื้นที่ตามข้อเสนอของ Skytrax (บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาธุรกิจการบินชั้นนำของโลก) โดยมีพื้นที่เรียกคืนประมาณ 1,588 ตร.ม. มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค. 24 คาดกระทบรายได้ 1.1 พันล้านบาทต่อปี นักวิเคราะห์ของเราประเมินรายได้ที่ลดลงดังกล่าวอาจกระทบกำไรสุทธิราว 3-4% กลุ่มเกษตร (STA) หลังมีข่าวสหรัฐร้องขอให้สหภาพยุโรปเลื่อนการบังใช้กฏหมาย EUDR (EU Deforestation Regulation) จากเดิมจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2025 เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าในสหรัฐ ประเด็นดังกล่าวเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มยางพาราของบ้านเราซึ่งก่อนหน้ามีแรงเก็งกำไรหนาแน่นเพราะจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากกฏหมาย EUDR
• (*/-) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -29.7 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 23 วันทำการต่อเนื่อง ขายพันธบัตร -84.1 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 169 สัญญา เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยสู่ 36.6 +/- บาท
• (*/+) TH Bond Yield: Bond Yield ไทยอายุ 10ปีไทยราคาปิดวานนี้ ล่าสุดอยู่ในระดับสู่ 2.69% ลดลงเร็วจากจุดสูงสุดรอบนี้ปลาย พ.ค. ที่ 2.86% บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง Equity Risk Premium จะถ่างกว้างขึ้น ซึ่งถือเป็นกลไกคาดว่าจะเร่งให้เกิดภาพเม็ดเงินกลับสู่ตลาดหุ้นเร็วขึ้น ทั้งนี้ ในปัจจุบัน Current และ Forward Equity Risk Premium (ERP) ถ่างกว้างสู่ 3.6% และ 4.23% ใกล้ระดับ ERP + 1 S.D. บริเวณ 4.09% ซึ่งมักเป็นจุดกลับตัวของ SET ในกรณีไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ พร้อมหนุนหุ้นกลุ่ม Peaking Yield Play อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC เช่าซื้อ เน้น MTC หนี้สูง เน้น MINT, TRUE, CPALL
• (+) Short Sales: วันแรกของสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่มาตรการ Uptick Rule จะมีผล 1 ก.ค. 24 ในจำนวนหุ้นที่มีการเปิด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะล่าสุดทั้งสิ้น 384 หุ้น หากเทียบระหว่าง 24 มิ.ย. vs 21 มิ.ย. เราพบว่ามี 167 หุ้นที่มียอด Short Sales น้อยลง (คิดเป็น 43% ของทั้งหมด) เท่าเดิม 148 หุ้น เพิ่มขึ้น 64 หุ้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ต่อเนื่อง
• (+) Long Term Fund: รมว. คลังแถลงการออกกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษี 30% หรือไม่เกิน 3 แสนบาท ระยะเวลาถือครอง 5 ปี ปฏิทิน (เดิม 8ปี) หุ้นใน Universe จะเพิ่มจาก Thai ESG ปัจจุบันที่ 121 หลักทรัพย์เป็น 300 หลักทรัพย์จากการเน้นคุณสมบัติทางด้าน Governance (G) มากขึ้น (เดิมเน้น Environment หรือ E) คาดเปิดขายกองทุนได้ประมาณเดือน ก.ค. ปีนี้
โดยรวมเรามองเป็นบวกต่อตลาดหุ้น เนื่องจาก
เราประเมินอิงจากยอดซื้อ LTF 3 ปี (2017-2019) ที่มียอดซื้อเฉลี่ยปีละ 6.8 หมื่นล้านบาท และโครงสร้างจำนวนผู้เสียภาษีในปี 2014 (ข้อมูลล่าสุดที่มีการเปิดเผยตามหน้าข่าว) เราคาดว่าจะมีเม็ดเงินซื้อสุทธิกองทุนใหม่นี้อยู่ที่ราว 7.8 หมื่นล้านบาท ต่อปี (vs ตลาดคาดงวด 5 เดือนที่เหลือของปี 2024 ที่ 2.5-3.0 หมื่นล้านบาท) ศักยภาพเม็ดเงินสูงกว่าเม็ดเงินสมัย LTF เนื่องจากการให้สิทธิลดหย่อนที่เพิ่มขึ้นมาที่ 30% เมื่อเทียบกับ LTF ที่ 15% ทำให้ผู้ที่เสียภาษีในระดับกลาง (เงินได้ต่อปี 7.5 แสน – 2 ล้านบาท) ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของจำนวนผู้เสียภาษี มีทางเลือกที่จะออมเงินผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณของ KSS หากอิงวงจร LTF ในปี 2012-13 ที่มี Cycle เศรษฐกิจคล้ายกับปัจจุบัน เราพบว่า ทุกๆ เม็ดเงินใหม่ 1 หมื่นล้านบาทที่เข้าสู่ตลาดจะหนุน SET ราว 20-25 จุด ใกล้เคียง ผลการศึกษาของตลาดที่ประเมิน 25-27 จุด ดังนั้น หากเม็ดเงินเข้ามาใกล้เคียงกับที่เราประเมินต่อปี ประเมินจะหนุน Upside ตลาดอย่างมีนัยฯ จากฐานปัจจุบัน
ด้านแนวทางการเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง มองต้องมีคุณสมบัติดังนี้ i) หุ้นที่ราคาปรับลง ytd สูง vs SETESG -9.8% ii) มีน้ำหนักในดัชนี SETESG ค่อนข้างมากและ iii) มีสัดส่วนสถานะ Short-selling คงค้างเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาด พบว่า หุ้นในดัชนี SETESG ที่เด่นสุด ได้แก่ BTS (YTD ปรับลง -34%, น้ำหนักใน SETESG 0.58%, จำนวนหุ้นที่ถูก Short และยังไม่ปิดสถานะต่อทุนชำระแล้ว 1.48%), SCC (-26%, 2.84%, 0.85%), CRC(-26%, 1.7%, 1.1%), IVL(-25.5%, 1.06%, 2.17%) , PTTGC(-20%, 1.29%, 1.05%), CPN(-19.7%, 2.34%, 0.5%) BBL (-15.7%, 2.34%, 1.15%) และกลุ่มที่มีน้ำหนักสูง อาทิ GULF (-9.55%, 4.38%, 0.42%) AOT( -2.1%, 7.75%, 1.02%) MTC (-1.67%, -0.87%, 1.34%) CPALL (-0.45%, 4.65%, 0.89%)
นอกจากนี้ รมว. คลังยังเปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาในส่วนการนำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเปิดขายให้กับประชาชน หากอิงโครงสร้างคล้ายเดิม คือ จะมีการลงทุนฝั่ง ก (ประชาชน) และ ข (รัฐบาล) ฝั่งประชาชน จะมีการกำหนดช่วงผลตอบแทนขั้นต่ำ (Floor) และ Ceiling โดยในช่วงเวลาใดที่ผลตอบแทนกองทุนต่ำกว่า Floor จะมีแบ่งผลตอบแทนฝั่งรัฐบาลมาให้นักลงทุนฟากประชาชน ทั้งนี้ ในส่วนดังกล่าวยังต้องติดตามความชัดเจนแผนของภาครัฐฯต่อไป ระยะสั้นให้น้ำหนักเพียงจิตวิทยาบวกก่อนจนกว่าความชัดเจนจะเพิ่มขึ้น
• (*/+) To Monitor:วันนี้ (25 มิ.ย.) ติดตาม รายละเอียดรัฐบาลเตรียมแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น - กลาง - ยาว เบื้องต้นประเมินมาตรการระยะสั้นเน้นไปที่ฝั่งการบริโภค การท่องเที่ยวเน้น AOT, CPALL ส่วนมาตรการระยะกลาง-ยาว เรามองในส่วนการผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน เน้น CK, STEC ส่วนอีกด้าน เรามองหากมีแผนกระตุ้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรม S Curve ใหม่ๆที่ชัดเจน จะช่วยคลายความกังวลภาคผลิตระยะกลาง-ยาวได้ ส่วน 28 มิ.ย. BOT รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค.
Daily Strategy : AOT, BTS, MTC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัวได้ต่อ" แม้ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นกลาง เป็นภาพการสลับกลุ่มเล่น ขายทำกำไรกลุ่มเทคโนโลยี หมุนไปกลุ่มพลังงาน ธนาคาร เป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET อย่างไรก็ตาม ภายในเป็นบวกจากความชัดเจนกองทุนหุ้นระยะยาว ThaiESG เกณฑ์ใหม่ ขณะที่สัญญาณ Short Covering ก่อน Uptick Rule มีผล 1 ก.ค. เร่งขึ้นต่อเนื่องและวันนี้ยังมีลุ้นมาตรการกระตุ้น ศก. สั้น กลาง ยาว จากภาครัฐช่วยหนุนดัชนี มองหุ้นนำ 1) กลุ่มปรับฐานลึก+มีน้ำหนัก Thai ESG สูง+Short ยังไม่ปิดสถานะมาก และ 2) กลุ่ม Bond Yield ไทยแกว่งลงต่อเนื่องหนุน (ล่าสุด 2.69% vs พีครอบนี้ 2.86%) อาทิ เช่าซื้อ หนี้สูง
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO OSP SAPPPE ICHI)
• JUNE24 Best Picks: MINT, GFPT, HANA, ICHI, OSP, BJC, MTC
• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Time to Invest
ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง
Key Ideas:
• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง
• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด
• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ
• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ
• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง
กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น
1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU
2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF
• Strategy Update : Data Center
• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW
• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค
• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)
• AOT (Buy, TP68): เรามอง Neutral ต่อข้อมูลจากงานเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสนามบินดอนเมือง เฟส 3 ผู้บริหาร AOT เผยผลกระทบจากการเรียกคืนพื้นที่ (บางส่วน) จากผู้เช่าส่งผลต่อผลประกอบการไม่มาก (<3-4%) ตามคาด มีโอกาสเกิด Upside จากยอดใช้จ่ายผู้โดยสารในสนามบินที่เพิ่มขึ้น เราปรับราคาเป้าหมาย (TP24/25F) ลง -3% สะท้อนผลกระทบข้างต้น ยังคงคำแนะนำ Buy โดยมองราคาหุ้นอ่อนตัวเป็นโอกาส "ทยอยสะสม"
• KKP (Neutral, TP48): เรามีมุมมอง Negative ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 1.10 พันลบ. ลดลงแรง -22% y-y และ -27% q-q เพราะ i) สินเชื่อหดตัว -2.1% y-y และ -1.1% q-q คิดเป็น -1.8% YTD จากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และ SME ii) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น iii) รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง iv) ขาดทุนรถยึดคาดที่ -1.49 พันลบ. เทียบกับ 967 ลบ. ใน 2Q23 และ -1.46 พันลบ. ใน 1Q24 ทั้งนี้เราปรับกำไรสุทธิปี 2024-26F ลงปีละ –(4-7)% จากรายได้รวมต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ TP24F ลดลงเหลือ 48 บ. และเราปรับคำแนะนำเป็น NEUTRAL เพราะตลาดเช่าซื้อซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ KKP ยังไม่ดี โดยเฉพาะคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ ทำให้กระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อรวม
• MOSHI (Buy, TP64): เรามีมุมมอง Positive ต่อข้อมูลล่าสุด i) มีความเป็นไปได้สูงที่ในปี 2024F จะเปิดสาขามากกว่าประมาณการเดิม 34 สาขา เนื่องจาก 1H24F เปิดไปแล้ว 20 สาขา ii) ปัญหาขาดแคลนสินค้าชั่วคราวมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ SSSG มีโอกาสสูงกว่าที่เราคาด -2% โดยเราคงประมาณการกำไร 2024F ที่ 500 ลบ. (+25%y-y) และคงคำแนะนำ Buy ที่ TP24F 64 บาท อิง DCF (WACC 7.5%, L-T growth 3%) และให้มองข้ามกำไร 2Q24F ที่สะดุดจากปัญหาขาดแคลนสินค้าชั่วคราว ซึ่งมองว่าปัจจุบันได้รับการแก้ไขและราคาตอบรับไปมากแล้ว โดยมองเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เติบโตเร็วกว่าตลาดค้าปลีกโดยรวม และ MOSHI มีแผนเชิงรุกในภาวะที่คู่แข่งยังชะลอ
• Energy Weekly (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) +4% w-w ฟื้นตัวจากความกังวลความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่กลับมารุนแรงขึ้น รวมถึงการกลับมาซื้อ future น้ำมันของกองทุนฯ หลังคลายความกังวล supply OPEC+ คงมุมมองเดือน มิ.ย. 24 ราคาน้ำมันดิบ ลดลง m-m (-3% mtd) จากความกังวล supply ในอนาคตที่อาจเพิ่มขึ้น และการลด run ของกลุ่มโรงกลั่น กลบ demand ที่ฟื้นตัวทั้ง U.S. และ EU
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ -4% w-w ตาม spread HSFO -4% w-w แต่ไม่ได้น่ากังวล เพราะโรงกลั่นในไทยมี yield HSFO ต่ำ โดยเริ่มเห็นการฟื้นตัวเร่งขึ้นของ demand gasoline ใน U.S. +4% w-w ส่งให้ spread+4% w-w คงมุมมองค่าการกลั่น มิ.ย. 24 ฟื้น m-m supply ตึงตัวขึ้นจากการลด run ของโรงกลั่นในภูมิภาค และการ re-stock U.S. driving season
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ลด w-w การแข่งขันสูงทำให้ปรับราคาขึ้นได้ช้ากว่าต้นทุน i) สายโอเลฟินส์ PE/PP spread -5-6% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ -7-15% w-w supply เพิ่มต่อเนื่องตามการทยอยออกจากปิดซ่อม iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) -7% w-w supply ใหม่กดดัน คงมุมมองเดือน มิ.ย. 24 spread ผลิตภัณฑ์ ทรง-ลง m-m จาก supply ใหม่ยังเข้ามาต่อเนื่อง และโรงผลิตบางส่วนออกจากปิดซ่อม
ภาพสัปดาห์ ต้นน้ำ (PTTEP) เด่นสุด ได้ราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวหนุน ทั้งนี้ 2Q24TD ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่น -9-17% (ดู fig 4) ลดลงมามาก ใกล้เคียงกลุ่มปิโตรเคมี -12-20% (กลุ่มปิโตรเคมีแม้ลงมามากแต่ยังมี overhang ใน 2Q-3Q24F) สะท้อนกำไรที่ชะลอใน 2Q24F ตามค่าการกลั่นไปมากแล้ว ในขณะที่ไม่ได้ overhang จาก impairment/ การเลื่อน COD มากเท่าปิโตรเคมี คงมุมมองสามารถทยอยซื้อรับ การฟื้น q-q ใน 3Q24F หนุนจาก U.S. driving season และการทยอย cut run ได้ มอง SPRC (Buy; TP11) ที่เด่นจากได้ประโยชน์ของ gasoline และมีปัจจัยเฉพาะตัวคาดกลับมาทดลองเปิดใช้ SPM (ลดค่า ship-to-ship 1.5 $/bbl) ต้น 2H24F
2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery
Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU
Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC