ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัพเดต Momentum Tracker แนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
“ไฮไลต์ในสัปดาห์ก่อน”
สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI All-Country World Equity ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้าโดยปิด +0.5% WoW สวนทางกับ SET ที่ปิด -0.01% ทำให้ผลตอบแทนสะสมของตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นโลกในปีนี้แล้วกว่า 13% โดย program trading นับว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างแรงกดดันต่อ SET ในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากมี net sale รวมกัน 7,913 ล้านบาท
“ปัจจัยเศษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่”
วันพฤหัสบดี: (1) US Durable Goods Orders (consensus คาดยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐเดือน พ.ค. จะเติบโต 0.3% MoM ชะลอตัวลงจากระดับ 0.7% ในเดือน เม.ย.) และ (2) US 1Q24 GDP Final (consensus คาดเศรษฐกิจสหรัฐ จะเติบโต 1.3% QoQ ในไตรมาา 1)
วันศุกร์: US Core PCE (consensus คาดเงินเฟ้อ PCE หลักเดือน พ.ค. จะชะลอตัวลงสู่ 2.6% YoY จาก 2.8% ในเดือน เม.ย.)
“แนวโน้มของราคาสินทรัพย์ต่างๆในระยะสั้น”
1 สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนมีไม่มากนัก ยกเว้นวันศุกร์ซึ่งจะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังการกลับทิศของตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าจากสัญญาณลบของ (1) Valuation มีความตึงตัวมาก (2) Momentum Tracker เกิดภาพ bearish divergence ในโซน overbought และ (3) สัญญาณ extreme long bias ใน AUM ของ Leveraged Long US Equity ETF ซึ่งเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ จึงเป็นการสะท้อนว่านักลงทุนกำลังมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับทิศทางของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจมากเกินไป จนอาจทำให้เผชิญกับความเสี่ยงต่างๆต่อไปนี้ในอนาคตอันใกล้
(1.1) Overreliance on Mega Cap: การมี long bias ในหุ้น Maga Cap มากเกินไปอาจทำให้ผู้ลงทุนไม่พร้อมรับมือกับการกลับทิศของตลาดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือที่เรียกว่า Bull Trap
(1.2) Lack of Diversification: การถือหุ้นมากเกินไปในพอร์ตการลงทุนอาจทำให้ขาดการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการขาดทุน
(1.3) Ignoring Negative Information: ผู้ที่มี long bias มักจะไม่สนใจหรือประเมินค่าข้อมูลเชิงลบต่ำไป ซึ่งอาจทำให้ตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
(1.4) Emotional Decision Making: การมี long bias มากเกินไปอาจทำให้ผู้ลงทุนมีการตัดสินใจลงทุนที่ไม่เป็นระบบและพึ่งพาอารมณ์มากเกินไป
จากความเสี่ยงดังกล่าวเราจึงแนะนำให้ระมัดระวังกับการเทรดหุ้นรายตัวในสหรัฐมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหุ้นเทคโนโลยีที่มี valuation แพง และเกิดภาพ technical overbought
2 Gold Spot ยังประคองตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 2,290 เหรียญ แต่การเคลื่อนไหวในสัปดาห์นี้อาจมีความผันผวนมากขึ้นจากภาวะ Momentum Tracker overbought และ net speculative long position ที่สูงเกินไป จึงแนะนำให้ Sell into Strength มากกว่าการซื้อเพิ่ม
ส่วนเงิน (Silver) สัญญาณยังไม่ได้คอนเฟิร์มขาลง เนื่องจากราคายังไม่หลุดแนวรับหลัก (major support) ที่ 28.5 เหรียญ โดยหากราคาปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 31.5 เหรียญได้ในสัปดาห์นี้ก็จะทำให้วงจรกระทิงยังคงดำเนินต่อไปในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า แต่หากราคาปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับหลัก ก็จะเป็นสัญญาณเชิงลบ จึงแนะนำให้ใช้ 28.5 เหรียญเป็นตำแหน่ง stop loss
สรุปภาพตลาดวานนี้
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา SET กลับมาบวกได้ แม้ DELTA จะกดดตลาด แต่เห็นแรงซื้อกลับในหุ้นใหญ่ทั้งกลุ่มพลังงาน (นำโดยโรงไฟฟ้า) คอมเมิร์ช และธนาคาร รวมทั้งเห็นหุ้นถูกเทระหว่างสัปดาห์กลับมาเด้งแรง ที่ชน Ceiling เช่น NRF BYD และบวกแรงๆ ระหว่างวัน AS YGG SABUY เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
เผยหุ้นที่ไม่สามารถ Short ได้ตามเกณฑ์ใหม่...
ตามคาด!-ดัชนีฯหลุดไปแล้ว 1,300 จุด ซึ่งการลง-ขานี้ไม่ได้ลึกมาก หลังหลุด-เริ่มเห็นภาพตลาดค่อยๆ ฟื้นขึ้นจากข้างล่าง ตามกรอบระยะสัปดาห์ที่เราประเมิน โซน 1,280/1,290 จุด...
และมีแนวโน้มที่จะได้เห็นหุ้นไทยรีบาวด์ ในสัปดาห์นี้ คาดกรอบแนวรับเดิม 1,280 จุด แต่การฟื้นตัวจะดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้พัฒนาการจะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับ
ความเชื่อมั่นตามมาตรการที่ ตลท.ทยอยใช้กำกับเพื่อสร้างเสถียรภาพ เช่น หุ้นที่สามารถทำ Short sell ได้ ต้องมีมูลค่าตลาดเกิน 7.5 พันล้านบาท และปริมาณการซื้อขายต้องสูง-Turn over เกิน 2% เป็นต้น ส่วน Uptick Short sell ที่ ตลท.จะเริ่มใช้ 1 กค.นี้เป็นต้นไป ต้องมาติดตามดูกันต่อไปว่า จะช่วยลดแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ผ่านธุรกรรม SBL ด้วยการขายShort หุ้นผ่านกระดาน NVDR ได้มากน้อยเพียงใด
ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็น หุ้นไทยใน NVDR ถูกขาย Short sell สะสมอยู่ในปริมาณที่สูง นับแสนล้านบาท และยังไม่ได้ถูกซื้อคืนเลย แถมยัง Short sell เพิ่มด้วยในช่วงที่ผ่านมา หากเริ่มใช้เกณฑ์ Uptick short sell อาจจะไม่ได้ช่วยให้ตลาดฟื้นได้ทันที จากแรงซื้อคืน-Cover short แต่อย่างน้อยการขาย Short sell ควรจะทำได้ยากขึ้น และไม่น่าจะมีปริมาณขาย Short sell สะสมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเราหวังว่าเมื่อสถานการณ์กำไร และเศรษฐกิจไทยดีขึ้น จะช่วยหนุนให้ หุ้นที่ขาย Short sell ไว้ ในท้ายที่สุดต่างชาติจะมีการทยอยซื้อเพื่อนำหุ้นไปคืน
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์ แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว เริ่มโฟกัสไปข้างหน้าหลังเห็นงบทั้งหมดในสัปดาห์นี้ เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้
วิเคราะห์ทางเทคนิค
สัปดาห์นี้เล่าด้วยภาพมาถึงตอนที่ 4 (SET round 4) ปัจจุบันดัชนีสามารถยืนลักษณะ Sideway ออกข้าง ไม่ทำ low. ฟื้นตัวบริเวณโซนรับ 1280 จุด (Fibonacci retracement 38.2%) ได้ตามแผน ขณะที่โมเมนตัม RSI recovery จากเขตแดน oversold นอกจากนี้ดัชนีสามารถปิดเหนือเส้น EMA 5 วันได้สำเร็จ หนุนด้วย Volume outstanding & “Bullish Engulfing” ปิดแท่งเขียวใหญ่เต็มแต่ง บ่งชี้โมเมนตัมขาขึ้นเฟสแรกกำลังมา! Note: จับตานายกฯแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ...วันนี้ + มาตรการ Uptick rule เริ่มใช้ 1 ก.ค.
(อ่านต่อหน้า 13)
What to watch
ไทม์ไลน์คดี การเมือง: (1) คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ: ศาลรับฟ้อง ม.112 แล้ว แต่ได้ประกันตัว เดินหน้าสู้คดีต่อในชั้นศาล, (2) คดียุบพรรคก้าวไกล ศาลนัดพิจารณาต่อวันที่ 3 ก.ค. และให้คู่กรณีเข้าตรวจพยานหลักฐาน 9 ก.ค. (3) กรณีร้องถอดถอน นายกฯ เศรษฐา ศาลฯนัดพิจารณาครั้งต่อไป 10 ก.ค.
SET ยกระดับคุมเข้ม เปิดชื่อหุ้นให้ชอร์ตเซลได้เริ่ม 24 มิ.ย. นี้
การทบทวนหลักทรัพย์ที่ Short Selling ใน Non-SET 100 โดย ปรับมาร์เก็ตแคปขึ้นเป็น 7,500 ลบ. จากเดิม 5,000 ลบ. มี T/O Ratio เฉลี่ย 12 เดือน ที่ 2%: ยกตัวอย่างชื่อหุ้นที่เคยถูกยืม Short แต่หลังจากนี้ไปจะไม่สามารถ Short ได้ เช่น TOG WORK AS SMPC WARRIX TTCL UTP AI BGC DEMCO JR EKH III AU GREEN DRT TMT BRI ASW LALIN EP SAMART SUSCO UNIQ MGC CHAYO AGE SCN NYT NOBLE NRF BBGI LPN AIT EASTW SGC AE TSTH GJS SUPEREIF
และจะเปิดรายชื่อหุ้นที่สามารถ Short Sale ในวันที่ 24 มิ.ย.67 ยืนยันเริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule วันที่ 1 ก.ค.67
ซึ่งหลังจากการเริ่มใช้มาตรการจะมีการติดตามในทุกๆ 3 6 เดือน โดยมีตัวชี้วัด อาทิ วอลลุ่มการซื้อขาย การปรับตัวขึ้นของ SET คาดหวังวอลลุ่มให้เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ลบ.ต่อวัน เป็นระดับที่จะทำให้โบรกมีกำไรได้
รอง ผจก.ตลาด ระบุหากมาตรการ Uptick Rule ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อาจใช้ไม้แข็งของมาตรการ Daily Short Selling Limit ที่จะกำหนดการ Short Sale เป็นแบบรายวัน
คลังเคาะปรับเงื่อนไข Thai ESG ลดหย่อยภาษีเพิ่มเป้น 3 แสนบาท และลดเวลาถือครองเหลือ 7 ปี (แทนฟื้น LTF) มีผลช่วงปี 2567-2569 (เปิดเผยรายละเอียดเย็นวันที่ 24 มิ.ย. นี้)
SET50 reshuffle: คาดหุ้นเข้า SET50 BJC TIDLOR BCP ITC หุ้นออก SAWAD COM7 KCE BANPU
DSI คุมตัว “ชนินทร์ เย็นสุดใจ” ผู้ต้องหาคดี STARK กลับจากดูไบมาไทยแล้ว
หุ้นแนะนำวันนี้
GULF Run-trend แรงซื้อกลับจากลงแรงเกินไปต่อเนื่อง และคาดเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกจากจะได้ประโยชน์จาก PDP ใหม่มากกว่ากลุ่มสนับสนุน
(S 39 R 42-44 SL 37)
รายงานพื้นฐานวันนี้
Energy Sector
กลยุทธ์การเลือกหุ้นพลังงานใน 3Q24
การเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานใน 3Q24 แนะนำให้เน้นเป็นรายตัว โดยประเด็นมีประเด็นสำคัญ
1) อุปสงค์ขยายตัวบนอุปทานที่จำกัด หนุนราคาน้ำมันดิบ ไปตลอดจน 3Q24 ซึ่ง OPEC+ จะหั่นกำลังการผลิตไปอีก เราคาดราคาน้ำมันดิบจะทรงตัว YoY แต่ปรับตัวดีขึ้น QoQ
2) ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้น QoQ ใน 3Q24 (แต่ลดลง YoY จากฐานสูง) โดยมีปัจจัย Driving Season เป็นตัวหนุน คู่ไปกับการหั่นของ Supply ฝั่งเอเชียบางประเทศ
3) ราคาถ่านหินลดลง YoY และ QoQ จากทั้งฐานสูง และมีอุปทานใหม่เข้ามา รวมทั้งเป็น Low season
4) ภาพรวมอุปสงค์ยังต้องลุ้น โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจโลก และจีนที่ต้องจับตาการฟื้นตัวอีกระยะ ทำให้มีความไม่แน่นอนอยู่ในช่วง 2H24
Fundamental view: เราให้น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” และให้ PTTEP TOP เป็น Top Picks รวมทั้งมองเป็นโอกาสเก็งกำไร SPRC
Bank Sector
สินเชื่อจะขยายตัวใน 2H24
ธนาคาร 7 แห่งที่เราศึกษารายงานสินเชื่อสิ้นเดือนพ.ค. 24 ที่ 10.8 ล้านล้านบาท ลดลง 0.4% MoM จากการจ่ายคืนสินเชื่อของกลุ่มลูกค้า SME และกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ เป็นหลัก
นอกจากนี้ ธนาคารก็ยังเข้มงวดในการคัดกรองลูกค้าด้วย โดยธนาคารที่รายงานสินเชื่อลดลง นำโดย KTB BBL KKP และ TTB ในทางกลับกัน SCB และ TISCO รายงานสินเชื่อเติบโต MoM จากลูกค้า corporate เป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อของ KBANK ค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน
เราคาดความต้องการใช้สินเชื่อจะจะเติบโตดีขึ้นใน 2H24 จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจากรัฐบาลมากขึ้น หนุนความต้องการใช้สินเชื่อสำหรับเงินทุนหมุนเวียนและ project finance สูงขึ้น
Fundamental view: เราเลือก KTB และ TTB เป็น top pick เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีความเสี่ยงด้านประมาณการของกำไรในปีนี้ต่ำ Valuations ถูก และมีปันผลสูง
Residential Property Sector
รัฐบาลกระตุ้นตลาดคอนโด...
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นอสังหา โดยเป็นการกระตุ้นกลุ่มคอนโดโดยเฉพาะ คือ ขยายระยะเวลาการเช่าเป็น 99 ปี จาก 30 ปี และเพิ่มโควต้าชาวต่างชาติซื้อคอนโดเป็น 75% จาก 49% ในพื้นที่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา ก่อน แล้วใครจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้?
เนื่องจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์รอบนี้เน้นโควตาชาวต่างชาติเป็นหลัก ดังนั้นเราอยากแบ่งเป็น 2 ประเด็น
1) สัดส่วนรายได้จากผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดย SC เป็นผู้นำกลุ่มด้วยส่วนแบ่งรายได้ชาวต่างชาติมากถึง 20% ตามมาด้วย SIRI และ SPALI ประมาณ 10-15%
2) จำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมพร้อมขาย (AFS) มากที่สุด คือ SPALI ด้วยมูลค่า AFS สูงถึง 3.1 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วย SIRI ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท และ AP ด้วย 1.8 หมื่นล้านบาท
Fundamental view: เราจึงเห็นโอกาสในการเก็งกำไรหุ้นเหล่านี้ ตาม Sentiment ข่าวเชิงบวก แต่ในเชิงพื้นฐานเรายังคงให้น้ำหนักการลงทุน “น้อยกว่าตลาด” สำหรับกลุ่มอสังหาฯ แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์แล้ว แต่เรายังคงเห็นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแอ
DITTO
ดิทโต้ (ประเทศไทย)
ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง
ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น DITTO ได้รับแรงกดดันตามภาวะตลาดที่อ่อนแอ ทำให้หุ้นหลายตัวถูกความบิดเบี้ยวเชิงพื้นฐานของตลาดกดดัน อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังแข็งแรง
โดย DITTO มี Backlog รองรับรายได้ในปีนี้กว่า 5 พันล้านบาท และจะเริ่มรับรู้รายได้โครงการใหญ่อย่างสวนสัตว์ตั้งแต่ 2Q24 อีกทั้ง พ.ร.บ. เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค. นี้ ก่อนที่จะเข้า ค.ร.ม. ภายในเดือน พ.ย.
นอกจากนั้น อบก. ยังอยู่ระหว่างผลักดันโครงการ T-VER premium กับ ICAO เรามองว่ากำไรระยะสั้น-กลางของ DITTO ยังแข็งแรง และมีสตอรี่ระยะยาวรองรับ ร่วมรับฟังแผนงานอย่างละเอียดได้ ในงาน Thai Corporate Day ของเราในวันที่ 28 มิ.ย. นี้
THANI
(Visit Note)
ราชธานีลิสซิ่ง
คุณภาพสินทรัพย์ได้เวลาฟื้นตัวแล้วหรือยัง?
เราคาดว่า THANI จะได้ผลบวกจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้นใน 2H24 ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์ทยอยฟื้นตัว โดยปัจจุบันบริษัทเน้นดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและลูกค้าในกลุ่ม NPL เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้ฟื้นตัวได้ดีขึ้นและกลับมาจ่ายค่างวดได้มากขึ้นในปีนี้
ปริมาณรถบรรทุกที่ถูกยึดในระบบยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าปริมาณรถบรรทุกยึดของ THANI จะทรงตัวแล้วในปีนี้ ทั้งนี้ หาก THANI เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็พร้อมที่จะกลับมาเร่งปล่อยสินเชื่ออีกครั้ง เราจึงเชิญผู้บริหารของ THANI มาให้ข้อมูลแนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกในงาน BLS Thai Corporate Day ในวันที่ 24 มิ.ย. 24
Bloomberg consensus คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 เพิ่มขึ้น 2% YoY ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 2024 ที่ 10.2 เท่า ขณะที่คาดการณ์ EPS CAGR ปี 2024-26 อยู่ที่ 9.0% หรือคิดเป็น PEG ratio ที่ 1.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนที่เราศึกษาอยู่ที่ 0.8 เท่า ขณะที่ PBV ปี 2024 อยู่ที่ 0.96 เท่า และคาด ROE ปี 2024 ที่ 9.9% หรือคิดเป็น PBV/ROE ratio ที่ 0.097 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนที่เราศึกษาอยู่ที่ 0.114 เท่า ทั้งนี้ Bloomberg consensus คาด Dividend yield ของ THANI ที่ราว 5% ต่อปี
สรุปประเด็นจาก Quick take
Global Macro Update
ผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐลดลงกว่าคาด...
การยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ลดลง 5,000 ราย เหลือ 238,000 ราย ในสัปดาห์ที่สองของเดือน มิ.ย. ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 235,000 ราย ดัชนีภาคการผลิตของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาฟิลาเดลเฟีย ลดลง 3.2 จุด เหลือ 1.3 ในเดือน มิ.ย. จาก 4.5 ในเดือน พ.ค. และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5 ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่บันทึกค่าติดลบเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยปรับตัวดีขึ้นจาก -7.9 ในเดือน พ.ค. เป็น -2.2 ในเดือน มิ.ย. ดัชนีการจ้างงานเพิ่มขึ้นแต่ยังคงติดลบ บ่งชี้ถึงการลดลงอย่างต่อเนื่องของระดับการจ้างงาน
WHA
ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น
ผู้ถือหน่วย WHART ไม่ผ่านโหวตซื้อทรัพย์
ราคาหุ้น WHA ปรับตัวลงแรง หลังจากผู้ถือหน่วย WHART ไม่ผ่านโหวตซื้อทรัพย์สินมูลค่า 4 พันล้านบาท
View From Fundamental: เราคาดว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรง ได้สะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว โดยคาดว่าประเด็นการอนุมัติซื้อสินทรัพย์ของ WHAIR จะสร้าง positive sentiment ในวันนี้ เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ต่อ WHA (ราคาเป้าหมายที่ 6 บาท ยังไม่รวมผลกระทบจากประเด็นดังกล่าว)
AOT
ท่าอากาศยานไทย
การขอคืนพื้นที่เช่าและดิวตี้ฟรีบางส่วน กระทบรายได้
ตามรายงาน Bangkok Suvarnabhumi International Airport Audit Report ของ Skytrax ซึ่งเป็น บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาธุรกิจการบินชั้นนำของโลก ได้มีข้อเสนอแนะว่า AOT มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ภายในอาคารเทียบเครื่องบิน (Concourse) และอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) และท่าอากาศยานภูเก็ต (HKT) เพื่อจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานต่าง ๆ เพิ่มเติมให้ครบถ้วนตามมาตรฐานการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสมัยใหม่
View From Fundamental: เราคาดรายได้ที่ลดลงกระทบกำไร AOT ปี 2024 (ต.ค 2023 - ก.ย.2024) ประมาณ 1% และกำไรปี 2025 (ต.ค 2024-ก.ย.2025) ประมาณ 4%
เรายังรอข้อมูลเพิ่มเติม เรื่องการเปลี่ยนแปลงสัญญาของ Duty Free จะมีหรือไม่ ค่าใช้จ่ายในการ รื้อถอน และอื่นๆ นอกจากนี้ ทาง AOT แจ้งในข่าวประกาศต่อ SET ว่าจะมีการเพิ่มรายได้อื่นๆ มาชดเชยรายได้ส่วนที่ลดลง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน