Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

579

 


"Peaking Yield Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1310/1315จุด รับ 1295/1290จุด วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการ ขณะที่เงินเฟ้อ CPI พ.ค. 24 ของอังกฤษ ปรับลงสู่เป้าหมาย BOE ที่ 2% แล้ว ทำให้ตลาดคาด BOE จะลดดอกเบี้ย ส.ค. 24 และจะเป็นชาติที่ 3 ต่อจากแคนาดา และ กลุ่ม Euro บ่งชี้วงจรดอกเบี้ย G7 เข้าสู่ขาลงปี 2H24 เป็นแรงขับเคลื่อนสินทรัพย์เสี่ยงได้ต่อ ส่วนภายใน แม้ต่างชาติขายหุ้นต่อเป็นวันที่ 20 แต่เริ่มเห็นการกลับมาซื้อพันธบัตรหลักพันล้านบาทครั้งแรกใน 11 วันทำการ ถ่วง TH Bond Yield 10ปี ปรับตัวลงสู่ 2.74% (จุดสูงสุดปลาย พ.ค. 2.86%) หนุน Current และ Forward Equity Risk Premium (ERP) ปัจจุบันสูง 3.6% และ 4.2% vs จุดกลับตัวส่วนใหญ่กรณีไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจ ERP + 1 S.D. ที่ 4.09% ทำให้แรงขายนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสชะลอลง ผสาน จิตวิทยาบวกงบประมาณปี 2025 งบลงทุนสูงสุดใน 17ปี เริ่มเดินหน้ากระบวนการพิจารณา วันนี้มอง Rebound ต่อ หุ้นนำ คือ กลุ่ม Yield Peak หนุนกลุ่มที่ยังปรับฐานลึกกว่าตลาดและยังมียอด Short Sales สูง คาดเห็นการเร่ง Cover Short วันนี้แนะนำ CPALL, MINT, TRUE

 

Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1295/1290 จุด

What happened around the world ?

• (*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ เนื่องจากวัน Juneteenth

•(*) UK CPI : เงินเฟ้ออังกฤษ เดือน พ.ค. +2%y-y inline ตลาดคาดและระดับต่ำสุด พ.ค. 2021 (ถือว่าอยู่ในกรอบที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ตั้งเป้าไว้แล้ว เช่นเดียวกับ Core CPI +3.5%y-y ตามคาดและต่ำสุดตั้งแต่ พ.ย. 2021 (หลักๆทุกหมวดสินค้าปรับลง โดยเฉพาะ กลุ่มเครื่องดื่ม) KSS แนะนำให้ติดตามผลประชุม BOE วันนี้ ตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยที่เดิม 5.25% (มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งราว 25 bps) หลังเงินเฟ้อลงมาอยู่ในกรอบดังกล่าว มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มอ่อนค่า หนุนสกุล Dollar มีแนวโน้มแข็งค่าระยะสั้น

•(*/+) US Housing 1.)ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเดือนมิ.ย. ลดลง 4.4%m-m สู่ระดับ 43 จุดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2024 2.) MBA Mort gage rate 30 ปี ปรับลงอยู่ที่ 6.94% (ต่ำสุดในรอบ 2 เดือนและชะลอจากสัปดาห์ก่อนที่ 7.02%) โดยรวมสะท้อนอัตราดอกเบี้ยภาคอสังหาอ่อนตัวลง ย้ำมุมมองภาพเงินเฟ้อฝั่ง Shelter ที่มีความเหนือด (Sticky) สูงระยะถัดไปลดลง ย้ำภาพดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง

• (+) Japan Export : ญี่ปุ่นรายงานยอดส่งออก เดือน พ.ค. ขยายตัว +13.5%y-y ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อกัน หลักๆคือ การส่งออกเครื่องผลิตชิป (หมวด Machinery) ขยายตัวต่อเนื่อง และหมวด Semiconductors โตจากการส่งออกไปเอเชียและเกาหลีใต้ KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย คาดจะเห็นการส่งออกดีตาม ส่วนยอดนำเข้าญี่ปุ่น +9.5%y-y เร่งขึ้นจาก 8.3% ในเดือน เม.ย. KSS มองบวกต่อส่งออกไทยไปญี่ปุ่น โดยเฉพาะสินค้าไก่ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก มองจิตวิทยาบวกต่อ GFPT

•(*) War : ความกังวลสงครามตะวันออกกลางกลับมาอีกครั้ง ล่าสุดเมื่อวานกองทัพอิสราเอลอนุมัติแผนการโจมตีเลบานอน หลังจาก กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทำการโจมตีทางตอนเหนือของอิสราเอลต่อเนื่อง ทำให้ตลาดกังวลการเปิดฉากโจมตีเลบานอนอย่างเต็มรูปแบบของอิสราเอบจะทำให้สงครามในฉนวนกาซาลุกลามไปในตะวันออกกลาง KSS ประเมินอาจจะหนุน 1.) แนวโน้มค่าระวางเรือ World Container Index มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อ รอรายงานตัวเลขคืนนี้ (สัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 2%w-w และปรับขึ้น 8 สัปดาห์ติด) หากออกมาเพิ่มขึ้น ยังมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้น RCL กลุ่ม Freight Forwarder เน้น SINO แนะนำเพียง Trading 2.)หากสงครามตึงเครียด และหากอาจจะกระทบ Supply น้ำมัน มองหนุนราคาน้ำมันดิบเป็นขาขึ้น และมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบ บวกต่อหุ้นน้ำมันดิบ อาทิ PTT, PTTEP

• (*) To monitor : 20 มิ.ย. จีน PBOC ดอกเบี้ย LPR และ 5 ปี, อังกฤษ BOE Meeting มีลุ้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยคล้าย ECB 21 มิ.ย. ญี่ปุ่น, EU และสหรัฐ รายงาน PMI ภาคการผลิต (Flash PMI)เดือน มิ.ย.

• (*) US Bond & Dollar : ไม่มีการเคลื่อนไหวเนื่องจากวัน Juneteenth แนวโน้มระยะสั้นปรับลงเลช่นเดียวกับ Dollar Index เปิดเช้านี้ยังแกว่งตัวในแนวโน้มอ่อนค่าแรงบริเวณ 104.8+/- จุด

•(*) Oil : ราคาน้ำมันดิบ WTI ไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ ราคาน้ำมันดิบ Brent -0.3%d-d ปิดที่ US$ 85.07/barrel ชะลอการขึ้นหลังจากปรับขึ้นแรงติดต่อกัน 2 วันในช่วงก่อนหน้า และทิศทางยังเป็นขาขึ้น

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: SET Index ปรับลงช่วงครึ่งเช้า ฟื้นตัวช่วงบ่าย 3 ครึ่งเป็นต้นมา +6.4 จุด +0.49% ปิดที่ 1303.8 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเหนือที่ปรับขึ้นโดยส่วนใหญ่ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, HANA, KCE) ปรับตัวขึ้นจากจิตวิทยาบวกหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ นำตลาดต่อเนื่อง จากจิตวิทยาบวก US Bond Yield อายุ 10ปี อ่อนตัวลวลงต่อ หลังรายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่ำคืนที่ผ่านมา บ่งชี้ภาพเงินเฟ้อค่อยๆอ่อนลง เศรษฐกิจเป็นภาพ Soft Landing + ภาพการฟื้นตัวชิ้นส่วนฯ ในเอเชียเด่น สิงค์โปร์ รายงานตัวเลขส่งออกสินค้า เดือน พ.ค. โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โตเป็นเดือนที่ 2 +21.9%y-y กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT, PTTEP) ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ามันดิบปรับเพิ่มขึ้นแรงติดต่อกัน 2 วัน อิง Brent +1.28%d-d ปิดที่ US$ 85.33/barrel ส่วน GULF ถูกกลับสถานะในฐานะหุ้นแข็งแกร่งสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังทั้งกลุ่มปรับตัวลงหนักช่วงก่อนหน้า กลุ่มถ่วง คือ ธนาคาร (KBANK, KTB, SCB) กลุ่มธนาคารปรับลง มองตลาดกังวลต่อแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ หลังดอกเบี้ยนโยบายในประเทศยังคงไว้ที่ 2.5% เงินเฟ้อภายในยังต่ำ ขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มแผ่วจากฝั่งสหรัฐฯ จีนยังฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป

• (*) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -73.4 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 20 วันทำการต่อเนื่อง ซื้อพันธบัตร +63.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short 4,271 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงตัวสู่ 36.65+/- บาท

• (*/+) TH Bond Yield : Bond Yield ไทยอายุ 10ปี ล่าสุดปรับตัวลดลงสู่ 2.74% จากจุดสูงสุดรอบนี้ปลายเดือน พ.ค. 24 ที่ 2.86% สอดคล้องกับทิศทาง US Bond Yield ที่หลุดระดับสำคัญ 4.3% มองจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง อิง Current และ Forward EPS 2024F ที่ 83 และ 90 บาท หนุน Equity Risk Premium ปัจจุบันสูงราว 3.62% และ 4.16% vs ใกล้

• (*/+) SET200 Rebound Plays : SET ที่วานนี้มีสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค หลังจาก SET ปรับฐานลึก เชิงกลยุทธ์ SET ที่ปรับตัวจุดสูงสุดรอบนี้ 17 พ.ค. 24 ราว -5.7% เรามองหุ้นที่มีโอกาสรีบาวน์แรงจะอยู่ในกลุ่ม 1) กลุ่มที่ยังปรับลงลึกกว่า SET ในช่วงเดียวกัน และ 2) มียอด Short ที่ยังปิดไม่สถานะสูง ซึ่งมีโอกาสเห็นภาพเร่งสถานะ สรุปได้ดังนี้ BTS (ปรับตัวลดลง -25.9% vs SET -5.7%, ยอด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะต่อทุนชำระแล้ว 1.54%), BGRIM (-22.6%, 0.97%)IVL (-22%, 2.1%) PTTGC (-21.2%, 1.07%) GPSC (-19.4%, 1.28%) AWC (-14.8%, 1.88%) LH (-11.8%, 1.19%) AP (-10.8%, 1.19%) MINT (-9.8%, 1.23%)

• (+) TH Econ : นายกฯ แถลง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2567 ราว 7.8% บนสมมติฐานหรือประมาณการณ์ GDP ปี 68 ที่ 2.5-3.5% หรือ ค่ากลางที่ 3% สูงกว่าเมื่อเทียบกับคาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ Consensus ประเมินไว้ที่ 2.4% แต่สิ่งที่ตลาดให้ความสนใจคือการตั้งงบรายจ่ายลงทุนสูงถึง 9.02 แสนล้านบาทมากที่สุดในรอบ 17 ปี คิดเป็นกว่า 24.2% ของวงเงินงบประมาณ เป็นจิตวิทยาบวกให้กับตลาดจากแนวโน้ม GDP ที่ขยายตัวต่อเนื่องโดยมีแรงผลักดันจากการลงทุนของภาครัฐ อาทิ STEC CK รวมถึงกลุ่มจำหน่ายสินค้าปรับปรุงบ้านที่มีฐานลูกค้าผู้รับเหมาท้องถิ่น DOHOME

• (*/+) Infrastructure:บอร์ดการรถไฟฯ อนุมัติ 3 โครงการทางรถไฟทางคู่ชุดสุดท้าย (ชุมพร - สุราษฎร์ธานี 3.0 หมื่นล้านบาท สุราษฎร์ธานี - สงขลา 6.6 หมื่นล้านบาท และ เด่นชัย -เชียงใหม่ 6.8 หมื่นล้านบาท) เตรียมเสนอคมนาคม มิ.ย. นี้ ก่อนรับฟังความเห็นสภาพัฒน์ เคาะแนวทางจัดหาแหล่งเงินลงทุน คาดเปิดประมูลได้ภายในปี 2024 ทั้งนี้ มองโครงการในกลุ่มรถไฟรางคู่ที่เห็นความคืบหน้าก่อน คือ เส้นทางขอนแก่น - หนองคาย มูลค่า 2.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาด รฟม. จะประมูล พ.ค. - ก.ค. 24 มองจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มรับเหมาที่ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมปรับฐานแรงกว่าตลาดในช่วงการเมืองไม่ชัดเจนเช่นกัน อาทิ CK, STEC

• (*/+) Entertainment Complex: รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการ เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ว่า กระทรวงการคลังได้เชิญ 16 หน่วย เข้ามาให้ความเห็น โดยแต่ละหน่วยงานได้ส่งความเห็นมาเกี่ยวกับโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์เข้ามาครบถ้วนแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะสรุปรวบรวมความเห็นจากทุกหน่วยงาน และเดินหน้าจัดทำกฎหมาย เสนอให้ ครม.พิจารณาใน 3-4 สัปดาห์ มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงภาคบริการ อาทิ ค้าปลีก ท่องเที่ยว มองน่าทยอยสะสมในหุ้นที่ Underperform SET จากความไม่ชัดเจนการเมืองภายในไปแล้ว ระยะสั้นเน้นหุ้นแข็งแกร่งระยะกลาง-ยาว AOT CPALL

• (*) To Monitor: 21 มิ.ย. การ RebalanceFTSE หุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +55 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

 


Daily Strategy : CPALL, MINT, TRUE เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Rebound" ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นบวกอ่อนๆ หลังเงินเฟ้ออังกฤษลงสู่เป้าหมาย มองทำให้อังกฤษน่าจะเป็นชาติที่ 3 ในกลุ่ม G7 ที่เริ่มลดดอกเบี้ย บ่งชี้วงจรดอกเบี้ยโลกกำลังเข้าสู่ขาลง หนุนจิตวิทยาบวกลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ TH Bond Yield อายุ 10ปี ที่ปรับตัวลดลงสู่ 2.74% (จุดสูงรอบนี้ 2.8%) หนุน Current และ Forward Equity Risk Premium (ERP) ปัจจุบันสูง 3.6% และ 4.2% vs จุดกลับตัวส่วนใหญ่กรณีไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจ ERP + 1 S.D. ที่ 4.09% มองหุ้นนำ 1) กลุ่มได้ประโยชน์ Yield พี่ค อาทิ หนี้สูง TRUE, MINT, CPALL โรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มเช่าซื้อ MTC High Growth BBIK, MOSHI, KLINIQ ชิ้นส่วน HANA, KCE 2) กลุ่มที่มีกระแสงบประมาณปี 2025 เดินหน้า อาทิ CK, DOHOME 3) กลุ่มที่ยังปรับฐานลึกกว่าตลาด (vs พี่ครอบล่าสุด) และมียอด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะสูง อาทิ BTS, BGRIM, IVL, PTTGC, GPSC, AWC, LH, AP, MINT

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO OSP SAPPPE ICHI)

• JUNE24 Best Picks: MINT, GFPT, HANA, ICHI, OSP, BJC, MTC

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

• Strategy Update : SET50/100 Update

ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 2H24 มีผลราคาปิดวันที่ 28 มิ.ย. (เริ่มใช้ 1 ก.ค. 24) ผลการ Rebalance ตรงกับที่นักวิเคราะห์เชิงปริมาณ KSS ประเมินไว้ทั้งหมด ดังนี้

• หุ้นเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC BCP TIDLOR และ ITC

• หุ้นหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD KCE และ COM7

• หุ้นเข้า SET100 รอบนี้มี 9 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, JAS, QH, SKY, PRM, TIPH

• หุ้นที่หลุด SET100 รอบนี้ 9 บริษัท คือ AURA, BYD, FORTH, MOSHI, NEX, ORI, SNNP, THG, TKN

• Strategy Update : EURO 2024 Plays

Fact : มหกรรมฟุตบอลยูโร หนึ่งในรายการฟุตบอลนานาชาติที่จุดทุกๆ 4 ปี ที่ชาวไทยเฝ้าติดตามสูงสุด จะเริ่มต้นอีกครั้ง กลาง มิ.ย. 2024 นี้ โดยทุกๆทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลก เม็ดเงินจับจ่ายใช้สอยจะเร่งขึ้นสูงถึงระดับ 1.5-1.8 หมื่นล้านบาท นับว่ามีนัยสำคัญ เทียบกับช่วงเวลามหกรรมที่สั้นราว 1 เดือน โดยมีสินค้าหลักที่ความต้องการพุ่งสูงขึ้นช่วงเวลา ได้แก่ อาหาร+เครื่องดื่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา

Analysis จากการผลการศึกษาผลการเคลิ่นไหวอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกลุ่มสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีเทศกาลเกิดขึ้นย้อนหลัง 5 ครั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้ออุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงมหกรรมดังกล่าว อาทิ สื่อสาร โรงแรม ค้าปลีก และอาหาร ให้ผลตอบแทน 7.2% 6.3% 4.5% และ 1.8% ในช่วงฟุตบอลยูโร 3 รอบ (ไม่รวมรอบที่มี Market Risk ในปี 2008 (Subprime Crisis) และ 2021 (COVID-19)) ขณะที่พบว่ากลุ่มอาหารระยะหลังที่ทยอยมีหุ้นเครื่องดื่มเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น แม้ในช่วงปี 2021 ที่ตลาดมีปัจจัยเสี่ยง Market Risk ยังสามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาดได้ที่ +1.0% vs SET -5.3%

Strategy : เชิงกลยุทธ์ พบว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวที่มักให้ผลตอบแทนเด่นชนะตลาดในช่วงเวลาที่มีเทศกาลฟุตบอลยูโรเฉลี่ย 15.3%-2.7% ถือเป็นชุดหุ้นที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับการเก็งกำไรในรอบตลาดปัจจุบันที่กำลังตั้งฐานฟื้นตัว ได้แก่ CPALL(TP-80) ADVANC(TP-275) TRUE (TP-10.3) MINT (TP-42) BJC (TP-33) HMPRO (TP-15) GLOBAL (TP-17.6) SAPPPE(TP-125) DOHOME (TP-12.3) OSP(TP-26) ICHI(TP-22)

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

 

 

• TRUE (Buy, TP10.3) : Share price has been changed much over the past two months while we see continued improvement in the operation. TRUE is a Buy with unchanged TP Bt10.3. We expect turnaround story will continue into 2Q24 and the earnings are expected to grow by 44% qoq to Bt1.1b. ARPU uplift and cost reduction are still the key for growth in 2Q24. 1H24 earnings will comprise 60% of our full-year if 2Q24 earnings come in line, implying further EPS upgrade.

• BEM (Buy, TP9.5) : Minister of Transport unveiled more details on double-deck project. BEM will be awarded. But BEM will have to bear Bt35b investment cost and fare price for FES and SES can't be exceeded Bt50 (from about Bt75) in exchange of concession extension by another 22.5 years from 2035. But our sensitivity suggests the price reduction will cut our TP by 3% to Bt9.23, which still has 15% upside risk.

• KTC (Neutral, TP46) : เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 1,770 ลบ. ลดลง -2% y-y และ -2% q-q กดดันหลักจากความแข็งแกร่งของลูกหนี้ลดลง จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการปรับการจ่ายขั้นต่ำของบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% ทำให้ NPL Ratio ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.10% จาก 1Q24 ที่ 2.00% สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (PPOP) เพิ่มขึ้น +6% y-y ทรงตัว q-q เพราะการเพิ่มขึ้นรายได้รวม ทั้งสินเชื่อรวม รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ และหนี้สูญรับคืน ภาพรวม KTC เรามองว่ายังไม่น่าสนใจ เพราะกำไรสุทธิปี 2024F คาดโตเพียง +3%y-y

• MOSHI (Buy, TP64) : MOSHI ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) ที่มีความหลากหลาย ทันสมัยเน้นคุณภาพในราคาย่อมเยาเป็นหลัก โดยมีจำนวนหน่วยเก็บสินค้า (SKUs) รวมกว่า 22,000 SKUs ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีสาขาที่เปิดดำเนินงานแล้วทั้งหมด 131 สาขา ครอบคลุมกว่า 50 จังหวัดในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ประกอบด้วย (1) ร้านค้าปลีก 127 สาขา ได้แก่ Moshi Moshi, และ Garlic (2) ร้านค้าส่ง 4 สาขา ได้แก่ Moshi Moshi, GIANT, และ The OK Shop รวมถึงมีการขายสินค้าทาง E – Commerce Maerketplace ที่คนไทยนิยม Shopee, Lazada, และ Tiktok ขณะที่การเปิดสาขาใหม่สามารถทำได้ต่อเนื่อง มีความเสี่ยงที่ต่ำ เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่สูงและระยะเวลาคืนทุนเร็ว ทั้งในแง่ของ Break even point ที่ราว 3-4 เดือน และ Payback period ที่ราว 2-3 ปี อีกทั้งบริษัทฯ มี New S Curve จากการเปิดสาขาในรูปแบบใหม่ ได้แก่ (1) แบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ "Garlic" ที่นำเสนอสินค้าในแนว "Chic & Cool" ที่แตกต่างออกไปจากร้าน "Moshi Moshi" เดิม เพื่อขยายไปกลุ่มลูกค้าใหม่มากขึ้น และ (2) ร้าน "Moshi Moshi" ในรูปแบบ Stand alone จับกลุ่มลูกค้าชุมชนที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าถึง ซึ่งสาขาทั้ง 2 รูปแบบใหม่ เป็นปัจจัยสนับสนุนบริษัทฯ ในระยะยาวให้สามารถขยายสาขาได้มากกว่าเป้าหมายเดิม 300 สาขา ถือเป็น upside risk ต่อประมาณการ vs ปัจจุบันเราประเมินกำไรสุทธิปี 2024-26F เติบโตเฉลี่ย CAGR 23% ที่ 500 ลบ. (+25%y-y), 630 ลบ. (+26%y-y), และ 751 ลบ. (+19%y-y) ตามลำดับ เป็นไปตามยอดขายที่ขยายตัวจากปัจจัยสนับสนุน คือ i) การรุกขยายสาขาร้านค้าปลีกทั้งรูปแบบเดิมในศูนย์การค้า, รูปแบบ stand alone, และ แบรนด์ Garlic ii) SSSG แม้จะสะดุดในระยะสั้น แต่คาดว่าสามารถกลับมาเติบโตต่อเนื่องในระดับ -2%/4%/3% ตามลำดับ ผ่านการพัฒนาสินค้าและทำการตลาด และคาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงขึ้นที่ 54.5%, 54.9%, และ 55.2% ตามลำดับ เนื่องจากมีการเปิดสาขาร้านค้าปลีกที่มี margin สูงกว่าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไม่มีการเปิดร้านค้าส่งเพิ่ม ส่งผลให้ product mix ดีขึ้น เราประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2024F ที่ 64 บาท อิง DCF WACC 7.5%, L-T growth-3% คิดเป็น implied PER24F ที่ 42 เท่า หรือเทียบเท่า +0.5 SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง และแนะนำ "Buy" แม้ภาพระยะสั้นผลประกอบการ 2Q24F จะไม่โดดเด่น เนื่องจาก SSSG ลดลงชั่วคราวจากการขาดแคลนสินค้า แต่ราคาหุ้นตอบรับไปแล้ว และเมื่อมองข้ามไปใน 3Q24F คาดสินค้ากลับมาระดับปกติ โดยภาพระยะกลางยาว มอง MOSHI น่าสนใจจาก (1) ตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์มีการเติบโตสูง ทั้งตลาดในไทยและต่างประเทศ (2) MOSHI ออกแบบสินค้าได้ตอบโจทย์ลูกค้า ขณะที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนต่ำในจีน (3) เทียบคู่แข่ง MOSHI เด่นกว่าทั้งราคาสินค้าและเปิดสาขาได้เร็ว ในช่วงที่คู่แข่งชะลอ (4) ความนิยมยังดีทั้งสาขาเก่าและใหม่ การเปิดสาขาใหม่มีความเสี่ยงต่ำ (5) ยังมีช่องทางรองรับสำหรับขยายสาขาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเดิม หรือ New S Curve ด้วยรูปแบบใหม่ (6) มีอัตรากำไรสูง ถือเป็นศักยภาพสำหรับต่อยอดธุรกิจขยายฐานลูกค้าได้ในระยะยาว


2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้