Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

531

 


"Service Sector + Technology Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัว" ต้าน 1305/1310 จุด รับ 1293/1288 จุด ดัชนี S&P500 ขึ้นสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 6 กลุ่มเทคฯ ยังนำตลาด ทิศทาง US Bond Yield 10ปี ลดลงอีก -6 bps สู่ 4.22% ยอดค้าปลีก พ.ค. 24 ลดลงเหลือ +2.3%y-y จาก prev. +2.7% ขณะที่สัญญาณชี้นำระยะถัดไปCCI (U of Michigan) มิ.ย.ต่ำสุดใน 7 เดือน บ่งชี้ภาคการบริโภคน่าจะลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม +0.9%m-m จากทรงตัวในครั้งก่อน สะท้อนภาพรวม "US Soft Landing" ในช่วงที่เหลือของปี 2024F หนุนโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยใกล้เข้ามา บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะกลาง ส่วนราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งขึ้นรับวงจรภาคการผลิตโลกฟื้น และ Dollar Index อ่อนลง หนุนน้ำมัน +1.3-1.5% ทำให้หุ้นน้ำมัน+โรงกลั่น SET(10-11% ของ market cap) น่าจะประคองตลาด ส่วนภายใน บรรยากาศการเมืองคลายลงชั่วคราว จากบทสรุปบางกรณี อาทิ คุณทักษิณที่ได้ประกันตัว, การเลือกตั้ง ส.ว. เดินหน้าได้ต่อ ผสาน มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดสำคัญ Uptick Rule ใกล้มีผล 1 ก.ค. น่าจะหนุน SET ฟื้นตัว หุ้นนำ คือ กลุ่มอิงภาคบริการ+ท่องเที่ยว (ผ่านจุดต่ำของปี) กลุ่มน้ำมัน+โรงกลั่น กลุ่มชิ้นส่วน วันนี้แนะนำ AOT, CPALL, HANA


Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1305/1310 จุด รับ 1293/1288 จุด

What happened around the world ?

• (*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นต่อแต่อัตราการขึ้นลดลงหนุนจาก US Bond Yields ที่ลดลงหลัง US retail sales ออกมาต่ำคาดและแรงหนุนยังคงมาจากหุ้นกลุ่ม Semiconductor อิง Dow jones +0.15% S&P500 +0.25%ทำ All Time High Nasdaq +0.02%ทำ All Time High โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Financial กลุ่ม IT, Industrial, Energy (ตามราคาน้ำมันดิบ) โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ ICT, Consumer discretionary, Materials ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้นเด่นๆ คือ Super micro computer +3.67%, NVDIA +3.5% ฯลฯ

•(*) US Econ: ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฝั่งภาคบริโภคออกมาชะลอ แต่ภาคผลิตและอุตสาหกรรมออมาชะลอตามที่คาด คือยอดค้าปลีกเดือน พ.ค. 0.1%m-m ต่ำกว่าตลาดคาด 0.3% +2.3%y-y prev. +2.7%y-y ในเดือน เม.ย. หมวดที่ชะลอหลักๆ คือ 1.) Health & Personal Care หดตัว -0.7%y-y 2.)หมวดสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้ง Furniture, Electronic, Building Material โดย key สำคัญคือ Real Retail Sales 1 ใน 4 Indicator ที่ทางการใช้วัด Recession ยังหดตัวต่อ -0.95%y-y แต่ +0.08%m-m KSS ประเมิน Retail sale ชะลอตัวสะท้อนผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย คาดกระทบ GDP 2Q24 ในทางตรงข้ามผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน พ.ค. แกร่ง พลิกเป็น +0.4%y-y จาก -0.7%y-y ในเดือน เม.ย.

•(-) EU Econ: อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค (ครั้งสุดท้าย) +2.6% สูงสุดในรอบ 3 เดือน แต่ Inline ที่ตลาดคาด จาก 2.4% ในเดือน เม.ย. อย่างไรก็ตามยังอยู่ใกล้กรอบ 2% หากอิง MUFG คาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีกไตรมาสละ -25 bps ใน 3Q24 และ 4Q24 KSS มองจะหนุนให้ค่าเงินยูโรแนวโน้มอ่อนค่าบวกต่อภาคส่งออกยุโรป ผสานกับกระตุ้นกำลังซื้อ และการลงทุนต่อเศรษฐกิจยุโรป ผสาน Events สำคัญหนุนทั้งบอลยูโรที่เยอรมนี และโอลิมปิคที่ฝรั่งเศส มองบวกหุ้นทีมีรายได้ในยุโรป อาทิ XO(70%ของรายได้รวม), MINT(50%) SHR(40%), IVL (22%) CRC(6%) เน้นลงทุน MINT

•(*/+) Electronics sector : สิงค์โปร์ รายงานตัวเลขส่งออกสินค้า เดือน พ.ค. โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โตเป็นเดือนที่ 2 +21.9%y-y โตระดับเลขสองหลักเป็นครั้งแรกในรอบ 22 เดือน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย คาดจะเห็นการส่งออกดีตาม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เชื่อว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนกลับไปสู่วัฏจักรขาขึ้นอีกครั้งในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจากความคาดหวัง Service Sector + Technology ว่า Demand ในตลาดโลกจะฟื้นตัวขึ้น , กระแสการเติบโต AI , สงครามการค้าจะกระตุ้นระยะกลาง แนะนำ KCE เป็นหุ้นเด่น และ HANA (Trading)

•(*/+) Pig sector : จีนสอบสวนการนำเข้าเนื้อหมูจากสหภาพยุโรป เพื่อตอบโต้ยุโรปตั้งกำแพงภาษีนำเข้ารถ EV ที่ผลิตในจีน เก็งกรณีหากจีนเดินหน้ากีดกัน /ลดการนำเข้าหมูจากยุโรปจะเป็นจิตวิทยาบวกหนุนทิศทางราคาหมูจีนและเวียดนามมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อีก มองบวกต่อ CPF และ TFG ยังแนะนำ ซื้อ

• (*) To monitor : 20 มิ.ย.: จีน PBOC ดอกเบี้ย LPR และ 5 ปี, อังกฤษ BOE Meeting มีลุ้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยคล้าย ECB 21 มิ.ย. ญี่ปุ่น, EU และสหรัฐ รายงาน PMI ภาคการผลิต (Flash PMI)เดือน มิ.ย.

• (*) US Bond & Dollar : แนวโน้มระยะสั้นพลิกลงอีกครั้งรับ Retail sales ออกมาต่ำคาดปรับลง -6 bps อยู่ที่ 4.22% เช่นเดียวกับ 2 ปี ปรับลง 6 bps อยู่ที่ 4.69% มองเป็นจิตวิทยาขณะที่บวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มชิ้นส่วน กลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า ขณะที่ Dollar Index อ่อนค่าแรงลงมา 104.8+/- จุด

•(+) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นแรงติดต่อกัน 2 วัน อิง Brent +1.28%d-d ปิดที่ US$ 85.33/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.54%d-d ปิดที่ US$ 81.57/barrel หนุนจาก 1.) Dollar index อ่อนค่าแรงเมื่อวานหลัง retail sales ออกมาต่ำคาด อยู่ที่ 104.8 จุด 2.) ต้นสัปดาห์จีนประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ รายงานตัวเลข Retail sales เดือน พ.ค. ออกมาดีกว่าคาดหนุนคาดการณ์บริโภคน้ำมัน โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index วันนี้ และบวกต่อหุ้นน้ำมัน PTT, PTTEP. หุ้นโรงกลั่น SPRC, BCP , TOP

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: SET Index ปรับลง +0.82 จุด หรือ +0.06% ปิดที่ 1297.41 จุด โดยเป็นภาพปรับขึ้นสูงแตะ 1310.7 จุด ก่อนอ่อนตัวลงมา แม้ความตึงเครียดการเมืองในประเทศลดลง กลุ่มเด่น คือ กลุ่มเข้า SET50/100 รอบ 2H24 ที่ประกาศผล Rebalance วานนี้ อาทิ BJC, ITC, BA กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT) ตามราคาน้ำมันวานนี้ดีดตัว 1.97-2.4% กลุ่มชิ้นส่วน (HANA, KCE) โมเมนตัมหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศนำตลาดต่อเนื่อง กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มการแพทย์ (BDMS, BH) มองตลาดวันนี้ที่มีจังหวะฟื้นตัว ทำให้ตลาดปรับลดสถานะหุ้น Defensive ที่ Outperform ช่วงก่อนหน้า และ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT)

• (*) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -47.3 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 19 วันทำการต่อเนื่อง ขายพันธบัตร -44.1 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 22,257 สัญญา เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยสู่ 36.65+/- บาท

• (*/+) TH Politic: ภาพรวมวานนี้ปัจจัยการเมืองภายใน 4 เรื่องที่ตลาดติดตาม ภาพรวมความตึงเครียดทางการเมืองโดยรวมผ่อนคลายขึ้น โดยมีข้อสรุปใน 2 จาก 4 กรณี คือ 1) กรณีอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคุณทักษิณ แม้ศาลอาญารับฟ้อง แต่อนุญาตให้ประกันตัว (ปล่อยตัวชั่วคราว) ก่อนนัดไต่สวนอีกครั้ง 19 ส.ค. 2) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์กระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. ในปัจจุบันไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ส่วนอีก 2 กรณีที่ต้องติดตาม 3) กรณีพิจารณาคำร้องยุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาต่อในวันที่ 3 ก.ค. 4)กรณีพิจารณาคำร้องคุณสมบัตินายกฯ ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาอีกรอบในวันที่ 10 ก.ค. ประเมินความผันผวนตลาดจากแรงกดดันการเมืองภายในจะมีโอกาสค่อยๆลดลงเป็นลำดับ

• (*/+) SET Measures: มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน Update ล่าสุด ตลาดมีกำหนดการบังคับใช้ 4มาตรการ ดังนี้

1)กำหนดเกณฑ์หุ้นที่จะ Short selling (มีผล 21 มิ.ย.) i) ต้องอยู่ใน SET100 ii) ถ้าไม่อยู่ SET100 ต้องมีมูลค่าตลาด > 7.5 พันล้านบาท iii) จำนวนหุ้น Turnover 12 เดือนย้อนหลัง > 2% ประเมินเป็นกลาง(Neutral) และคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยหนุนตลาดเพียงจำกัดเนื่องจากหุ้นที่มีปริมาณ Short Outstanding และเข้าข่ายห้าม Short ในช่วงถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดเล็ก ถ้านับรวมมูลค่าทั้งหมดราว 38 ล้านบาท

2) Uptick(1 ก.ค.) KSS มองบวก ต่อ SET คาดจะลดความผันผวนตลาดในปัจจุบันทุกหลักทรัพย์ ผลคือ หากนักลงทุนจะ Short จะต้องเปิด short ที่ราคา offerหรือราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ซึ่งจะไม่จูงใจให้นักลงทุนเปิด Short Position หรือทำการ Short ได้ยากขึ้น เป็นมาตรการที่เคยใช้ในอดีตช่วง 13 มี.ค. – 30 ก.ย.20 (ในช่วงดังกล่าว SET +9.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว) 3) ลงทะเบียน HFT(1 ก.ค.) และ 4) เปิดเผยผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสม(1 ก.ค.)

โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาด และน่าจะลดความผันผวน จำกัด Downside ต่อ SET Index มองมาตรการที่จะช่วยลดความผันผวนต่อตลาดหุ้นได้มากระยะถัดไป คือ Central Order Screening ที่จะมีผลต้นปี 2025

• (*/+) LTF: รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการกระตุ้นตลาดทุนไทย โดยยืนยันว่าหลังจากนี้จะมีออกมาอีกหลายมาตรการ เช่น มาตรการกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะมีการปรับปรุงเงื่อนไขใหม่เพื่อให้มีความเหมาะสม และดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น เรามองจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่คาดหวังเม็ดเงินลงทุนระยะยาว เข้ามาช่วยลดความผันผวนตลาดระยะถัดไปได้ หากความชัดเจนทยอยออกมาเรื่อยๆ

• (*/+) TH Tourism: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ 10-16 มิ.ย. อยู่ที่ 6.57 แสนคน +10.98%w-w หนุนนักท่องเที่ยว YTD (ถึง 16 มิ.ย.) อยู่ที่ 16.2 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 9.64 หมื่นคน ผสาน มาตรการให้ฟรี วีซ่าหลากหลายชาติที่จะมีผล 1 ก.ค. มองนักท่องเที่ยวทั้งปี 24F ไม่ต่ำกว่ากรอบบน Consensus มอง 35.5-36 ล้านคน หุ้นท่องเที่ยวที่ช่วงหลังอ่อนตัวรับภาพนอกฤดูกาล (SETHOT และ AOT MTD -5.0% และ -9.3% vs SET -3.6%) และผ่านจุดต่ำสุดของปีที่มักจะอยู่ในช่วง พ.ค. ไปแล้ว มองน่าสะสมรับการฟื้นตัว ระยะสั้นเน้น AOT, MINT, ERW

• (*) To Monitor: 21 มิ.ย. การ RebalanceFTSE หุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

 

 

Daily Strategy : AOT, CPALL, HANA เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัว" ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นบวก เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนตัวลงค่อยเป็นค่อยไป ส่วนภายในความตึงเครียดการเมืองลดลงเป็นลำดับ เทียบกับความกังวลที่ตลาดรับรู้ล่วงหน้า หุ้นเด่นวันนี้มอง 1) กลุ่มชิ้นส่วนฯ เกาะกระแสหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯยังนำตลาด 2) กลุ่มน้ำมัน+โรงกลั่น 3) หุ้นกลุ่มอิงภาคบริการ (ท่องเที่ยว ค้าปลีก)

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO SAPPPE ICHI)

• JUNE24 Best Picks: MINT, GFPT, HANA, ICHI, OSP, BJC, MTC

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

• Strategy Update : SET50/100 Update

ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 2H24 มีผลราคาปิดวันที่ 28 มิ.ย. (เริ่มใช้ 1 ก.ค. 24) ผลการ Rebalance ตรงกับที่นักวิเคราะห์เชิงปริมาณ KSS ประเมินไว้ทั้งหมด ดังนี้

• หุ้นเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC BCP TIDLOR และ ITC

• หุ้นหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD KCE และ COM7

• หุ้นเข้า SET100 รอบนี้มี 9 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, JAS, QH, SKY, PRM, TIPH

• หุ้นที่หลุด SET100 รอบนี้ 9 บริษัท คือ AURA, BYD, FORTH, MOSHI, NEX, ORI, SNNP, THG, TKN

• Strategy Update : EURO 2024 Plays

Fact : มหกรรมฟุตบอลยูโร หนึ่งในรายการฟุตบอลนานาชาติที่จุดทุกๆ 4 ปี ที่ชาวไทยเฝ้าติดตามสูงสุด จะเริ่มต้นอีกครั้ง กลาง มิ.ย. 2024 นี้ โดยทุกๆทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลก เม็ดเงินจับจ่ายใช้สอยจะเร่งขึ้นสูงถึงระดับ 1.5-1.8 หมื่นล้านบาท นับว่ามีนัยสำคัญ เทียบกับช่วงเวลามหกรรมที่สั้นราว 1 เดือน โดยมีสินค้าหลักที่ความต้องการพุ่งสูงขึ้นช่วงเวลา ได้แก่ อาหาร+เครื่องดื่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา

Analysis จากการผลการศึกษาผลการเคลิ่นไหวอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกลุ่มสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีเทศกาลเกิดขึ้นย้อนหลัง 5 ครั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้ออุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงมหกรรมดังกล่าว อาทิ สื่อสาร โรงแรม ค้าปลีก และอาหาร ให้ผลตอบแทน 7.2% 6.3% 4.5% และ 1.8% ในช่วงฟุตบอลยูโร 3 รอบ (ไม่รวมรอบที่มี Market Risk ในปี 2008 (Subprime Crisis) และ 2021 (COVID-19)) ขณะที่พบว่ากลุ่มอาหารระยะหลังที่ทยอยมีหุ้นเครื่องดื่มเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น แม้ในช่วงปี 2021 ที่ตลาดมีปัจจัยเสี่ยง Market Risk ยังสามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาดได้ที่ +1.0% vs SET -5.3%

Strategy : เชิงกลยุทธ์ พบว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวที่มักให้ผลตอบแทนเด่นชนะตลาดในช่วงเวลาที่มีเทศกาลฟุตบอลยูโรเฉลี่ย 15.3%-2.7% ถือเป็นชุดหุ้นที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับการเก็งกำไรในรอบตลาดปัจจุบันที่กำลังตั้งฐานฟื้นตัว ได้แก่ CPALL(TP-80) ADVANC(TP-275) TRUE (TP-10.3) MINT (TP-42) BJC (TP-33) HMPRO (TP-15) GLOBAL (TP-17.6) SAPPPE(TP-125) DOHOME (TP-12.3) OSP(TP-26) ICHI(TP-22)

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

 


• DOHOME (Buy, TP12.3) : เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "BUY" จาก " TRADING BUY" คงราคาเป้าหมายปี 24F ที่ 12.30 บ. เพราะราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับลงแรง -20% (vs COMM -8.8%,) เพราะกังวลผลกระทบฝนมาไว อย่างไรก็ตาม เรามองผลกระทบเรื่องฝนจะน้อยลงหลังเข้าสู่ฐานเดียวกัน บวกกับการเบิกงบประมาณรัฐที่จะเร่งขึ้น ผสานจุดเด่นการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำกำไรที่ดีขึ้น y-y ชัดเจนกว่ารายอื่นๆ โมเมนตั้มกำไรปกติ 2Q24F y-y สูงสุดในกลุ่ม ดังนั้น เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาจนเกิด upside เพิ่มเป็น 25% จึงเป็นโอกาสในการซื้อ

• STANLY (Neutral, TP200) : We project STANLY's earnings will drop 2% yoy in FY25F in anticipation of weak car output in Thailand this year. However, the counter remains attractive as a pure dividend play that offer decent and resilient dividend yields. We have a NEUTRAL rating for the counter with a TP of Bt200. We would hold the stock for about two weeks after XD-date in July.

• Aviation (Bullish) : เรามอง Neutral ยอดนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ 24/24 ที่ 0.66 ล้านคน ฟื้น +11% w-w ตามฤดูกาลจากเทศกาลวันหยุดต่อเนื่องของศาสนาอิสลามหนุน เรายังคงมองช่วง Low season ของอุตฯ การบินขณะนี้เป็นโอกาส "ทยอยสะสม" หุ้นกลุ่มการบินก่อนเข้า High season ปลายปี และยังเลือก BA (Buy, TP 24.25 บาท) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ

• FTREIT (Unrated) : We anticipate FTREIT to pay higher DPU qoq in FY3Q24 mainly due to lower interest expenses and increased occupancy rate. It plans for Bt2.0-2.5b new asset investment by September this year and should be DPU accretive given financing by all debt. In contrast, FTREIT is trading at cheap valuation of 0.74x P/NAV and offers attractive real yield of 8.3%. Its portfolio is favorable with 72% freehold and long-life outstanding leasehold.

 

2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืน 1200 จุด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ในท้องทุ่งสีเขียว หุ้นไทยบวกยืน 1200 จุดได้อีกครั้ง ...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้