ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัพเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
ประเด็นสำคัญ:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดซื้อสุทธิ 662 ล้านเหรียญ แต่กระจุกตัวในเกาหลีใต้เพียงประเทศเดียวด้วย net inflow 1,071 ล้านเหรียญ นอกนั้นเป็น net outflow ทุกประเทศ โดยแรงขายที่มากสุดเกิดขึ้นในตลาดหุุ้นไทยมูลค่า 165 ล้านเหรียญ รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย 144 ล้านเหรียญ ส่วนไต้หวันและฟิลิปปินส์มี net sale ไม่มากนักที่ 65 ล้านเหรียญและ 36 ล้านเหรียญ ตามลำดับ
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index มีดังนี้ (1) ICT/ Communication & Internet และ (2) Transportation & Storage
แนวโน้ม:เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่
กลุ่มที่ Volume Index มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากระดับที่ต่ำกว่า mid-point ได้แก่ ICT
อัพเดต Market Timing Indicator (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับตัวลง -4.6% อ่อนแอกว่าที่เราคาด โดยมีสัญญาณเชิงลบใน Market Timing Indicators แทบทุกมิติ ดังต่อไปนี้
(1) Intraday Volatility ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. และยังไม่มีท่าทีที่จะพีค จึงทำให้ค่า overnight volatility มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากระดับ 11% ไปสู่ค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 16.5% คล้ายกับวงจรของการปรับฐานครั้งอื่นๆ
(2) Short-term Bull-to-Bear Indicator ได้ปรับตัวลงแตะกรอบล่างแล้ว แต่สัญญาณของการรีบาวด์กลับแผ่วเบามาก แตกต่างจากวงจรการเคลื่อนไหวในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนว่า SET มีดาวน์ไซด์ที่เปิดกว้างขึ้น เนื่องจาก short-term market timing indicator ไม่เกิด mean reversion จากโซน lower bound อย่างที่ควรจะเป็น
(3) Composite Medium-term Indicator และ Market Breadth ก็มีสัญญาณที่แย่ลงเช่นกัน และยังไม่ได้เข้าสู่ inflection point จึงทำให้ SET มีโอกาสเกิด panic sell หากไม่ดึงกลับขึ้นไปยืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 1320 จุดภายในสัปดาห์นี้
สรุปภาพตลาดวานนี้
SET เลือกทางลง... ดิ่งไปกว่า 14 จุด กดดันโดยบลูชิปทุกกลุ่ม AOT DELTA CPALL CPAXT BH BDMS ADVANC MINT BTS เป็นต้น และลงแรง EA-NEX (มีข่าวแจ้งขอเพิ่มทุนฯ) SABUY ส่วนหุ้นบวกสวนตลาด PROEN SFLEX TRITN WINDOW MGI เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
HODL
SET เลือกแล้ว! ดัชนีฯในสัปดาห์นี้ หลุด 1,320 จุด (กรณี 2) และคาดจะเกิดแรงขายต่อไปอีกสักระยะ ส่วนแรงซื้อคืนคาดจะเริ่มเห็นบริเวณ โซน 1,300 จุด หรือต่ำกว่าเล็กน้อย และเมื่อแรงขายเริ่มนิ่งคาด จะผลักดันภาพรวมตลาดให้กลับมาค่อยๆไต่ระดับ จากการเล่นโซนล่างขึ้นมาอีกครึ้ง
กลยุทธ์ให้น้ำหนักไปกับปัจจัย 1) หุ้นรายตัว และปัจจัยความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศ ที่ต้องอาศัย “Action” จากหน่วยงานที่กำกับดูแลการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการกำกับความเสี่ยงของ บจ.รายตัว, การเดินสายโรดโชว์โดยตรงให้กับ นลท.ต่างประเทศ, ออกกองทุนพยุงหุ้นฯ
2) ทิศทางกำไรสุทธิ บจ.ที่หุ้นหลายตัวเผชิญมรสุม การตั้งด้อยค่าจากเงินลงทุน (ตามมูลค่าหุ้นที่ตก) ซึ่งควรจะต้องหาจุดยุติให้เจอ เช่น ขายออก, เปลี่ยนมือเจ้าของ เป็นต้น 3) สุดท้ายเสถียรภาพของรัฐบาล จากกระแสข่าวที่ตีประเด็นการเมืองให้กลับมาร้อนแรงสร้างความกังวลให้กับตลาดในช่วงนี้
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว เริ่มโฟกัสไปข้างหน้าหลังเห็นงบทั้งหมดในสัปดาห์นี้ เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้ เช่น ฤดูกาลท่องเที่ยวของฝั่งตะวันตก (โอลิมปิกฝรั่งเศส, บอลยูโร เยอรมัน)
วิเคราะห์ทางเทคนิค
ดัชนีหุ้นไทยร่วงหลุด low หักล้างภาพ “Double bottom” (ผิดไปจากที่คาด) ปัจจุบันกำลังปรับลงเข้าหาโซนรับ Fibonacci retracement ที่ 23.6% บริเวณ 1,280 จุด นอกจากนี้ยังเคยเปิดช่องว่าง gap ไว้เมื่อปี covid 2020 ขณะที่โมเมนตัม RSI เข้าใกล้เขตแดน oversold ทำให้ downside risk ของตลาดอาจลงไม่ลึก! อย่างไรก็ตามเราแนะวางแผนป้องกันความเสี่ยง...หากราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าจุดคัทที่ให้ไว้แนะปรับพอร์ต ถอยตั้งหลักออกมาก่อน Note: ตลาดร่วง แต่หุ้นแนะนำรายเดือน OSP & ITC บวกสวนทาง
What to watch
กางไทม์ไลน์การเมืองในประเทศ: อัยการนัดส่งฟ้อง ม.112 คุณทักษิณ 18 มิ.ย.นี้, ศาล รธน.นัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล 12 มิย.
ไทม์ไลน์คดี ถอดถอน นายกเศรษฐา: 7 มิย.ครบกำหนดชี้แจง 12 มิ.ย.ศาลฯนัดประชุม และใช้เวลาพิจารณาไม่น้อยกว่า 15 วัน, คาด 28 มิ.ย.ศาลนัดวินิจฉัยได้เร็วสุด
การประชุมธนาคารกลางสำคัญตลอดสัปดาห์นี้: คาด ธนาคารกลางสหรัฐ, ไทย ไต้หวัน คงดอกเบี้ยนโยบาย และติดตามทิศทางนโยบายการเงินเข้มงวดของ ธนาคารกลางญี่ปุ่น
คาดหุ้นเข้า SET50 BJC TIDLOR BCP ITC หุ้นออก SAWAD COM7 KCE BANPU
หุ้นแนะนำวันนี้
KTB ย่อซื้อ เล่นรับแนวโน้มการเลื่อนขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. และงานภาครัฐฯ(S17.5 R18 SL17)
รายงานพื้นฐานวันนี้
Quantitative Strategy
ดัชนี Market timing อ่อนแอลงในทุกมิติ
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 4.6% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นจากประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เราคาดว่าดัชนี SET จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง ทั้งนี้ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี Composite Short-term ปรับตัวลง เนื่องจากดัชนี Short-term Bull-to-Bear ปรับตัวลงจากระดับ 29% ในสองสัปดาห์ก่อน สู่ระดับ 17% ในปัจจุบัน ขณะที่ดัชนี Short-term Market Momentum ปรับตัวลงแรงจากระดับ -0.7 สู่ระดับ -23.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปีนี้ จากสัญญาณของดัชนีเหล่านี้ เรามองว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงขาลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ขณะที่ค่าความผันผวนของตลาดปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 10% สู่ระดับ 11% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เราคาดว่าความผันผวนจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 16.5% ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากดัชนี Composite Short-term ที่อ่อนแอลง เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในช่วง 1260-1370 จุดในช่วงวันที่ 11-24 มิ.ย.
Commodities
ค่าการกลั่น, ระวางเรือตู้, ส่วนต่างเคมีฯ ปรับตัวขึ้น
ในสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบดูไบ ย่อลง $4.72 WoW เป็น $79.47/บาร์เรล (ลบต่อ PTTEP)
ค่าการกลั่น (อิงสิงคโปร์) ปรับตัวขึ้น $1.31 WoW เป็น $3.60/บาร์เรล จากทุกผลิตภัณฑ์ (บวกต่อ SPRC และ TOP มากสุด)
ส่วนต่างราคา (Spread) ส่วนใหญ่ขยายตัว หลักๆ จากต้นทุน Naphtha ที่ลดลงแรง (โดยรวมบวกต่อ PTTGC มากสุด)
ราคาถ่านหินทรงตัว WoW ที่ $140.19/ตัน (ยังกดดัน BANPU ต่อบ้าง)
ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) ปรับตัวขึ้น 3% WoW เป็น 1,845 จุด (ลบต่อ PSL และ TTA)
ส่วนค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ (World Container Index) เพิ่มขึ้น 12% WoW เป็น 4,716 จุด (บวกต่อ RCL)
Fundamental View: เชิงพื้นฐานเราชอบ PTTEP มากสุดสำหรับพลังงานต้นน้ำ, TOP มากสุดในกลุ่มโรงกลั่น และเห็นโอกาสเก็งกำไรในกลุ่มเดินเรือ และเห็นโอกาสเก็งกำไร RCL
Technology Sector
เจาะธีม Virtual Banking และ AI
หลังจากเราช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้มุมมอง Virtual bank และ Digital Lending จากผู้เล่นสายตรงในภาคการเงิน
ในสัปดาห์นี้จะมาเจาะมุมมองในภาคเทคโนโลยี ทั้งในด้านของการปรับโครงสร้างพื้นฐาน IT และการลงทุนเพิ่มเติมในฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อรองรับกับทั้ง 2 ธีมหลักในวันที่ 12 มิ.ย. นี้
โดยเราจะได้รับเกียรติจาก ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มาให้ข้อมูลในหัวข้อพิเศษ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนทั้ง SECURE, BOL, TBN, BBIK, GABLE และ SRS
AURA
(Visit Note)
ออโรร่า ดีไซน์
ทองมา-เงินไป...แต่หุ้นต้องรอตลาด
ในภาวะที่ตลาดไม่ค่อยเอื้อต่อการเก็งกำไร งาน Virtual Conference Call เราจึงจัดลักษณะ Knowledge Sharing มากขึ้น วานนี้เราเกาะกระแสทองคำ เชิญผู้บริหาร AURA มาบรรยาย สรุปข้อมูลที่ควรรู้
1) ธุรกิจร้านขายปลีกทอง ไม่ได้มีกำไร-ขาดทุนจากราคาทองขึ้น/ลง เพราะมีการทำ Natural Hedging ในแต่ละวัน กำไรร้านทองขาขึ้น จะได้ค่ากำเหน็จ ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ขาลงจะได้ส่วนต่างระหว่างราคา ซื้อ-ขายในวันมากขึ้นกว่าปกติ สรุปได้ทั้งขาซื้อ-ขาย
2) ธุรกิจขายฝากทอง (ทองมา-เงินไป) กำลังจะกลับมาเพิ่มบทบาทอีกรอบ โดยความกังวลที่ นลท. กลัวบริษัทจะขาดทุนหากลูกหนี้ไม่ปิดยอด และราคาลงแรง ความจริงมีการเผื่อส่วนลดไว้แล้ว 7-15% (ปัจจุบัน 10%) และลูกหนี้กว่า 80% ไม่ได้ขายฝากเต็มยอด จึงมี Buffer เหลือพอสมควร ในทางตรงข้าม กำลังจะกลับมาเติบโตแรงอีกครั้ง เพิ่งได้รับวงเงินฯ จากธนาคารอีกราว 2 พันล้านบาท (เดิม 4 พันล้านบาท)
3) แผนการเติบโตเน้น Organic (จากร้านค้าปลีกทองและทองมา-เงินไป) ส่วนการบริหารความเสี่ยง ทำผ่านการขยับ Spread ทั้งในส่วนของส่วนต่างราคาซื้อ-ขายทองคำ และส่วนลดจากมูลค่าของการขายฝาก ส่วนลูกค้ากลุ่มใหม่ (นอกเหนือจากขยายสาขา) ใช้ Affiliate Marketing ที่ได้ผลดี
Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 2024-25 เติบโต 16% และ 17% ตามลำดับ ขณะที่ Forward PER ปี 2024 ปัจจุบันอยู่เพียง 17 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 19 เท่า
Our view: แม้พื้นฐานธุรกิจจะดี และแกร่งขึ้น แต่เรามองการเก็งกำไรระยะสั้นน่าจะทำยากด้วยภาวะตลาดยังไม่เอื้อต่อหุ้นกลาง-เล็ก ในเชิงกลยุทธ์ เราแนะรอช่วงรอยต่อ 3Q-4Q24 ที่ราคาทองคำน่าจะเริ่มนิ่ง และเก็งกำไรดัก High season เทศกาลแจกของขวัญ
KSL
(Visit Note)
น้ำตาลขอนแก่น
ราคาน้ำตาล ยังรอปัจจัยบวก
ผู้บริหารให้ข้อมูลบวกในการประชุมนักวิเคราะห์จากปริมาณอ้อยทั้งอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่คาดจะเพิ่มขึ้น 16% YoY ในฤดูการผลิตปี 2024/25 หลังจากภาวะแล้งจากเอลนีโญ ราคาน้ำตาลตลาดโลกที่ระดับ 19 เซนต์ต่อปอนด์ ยังรอปัจจัยบวก จากการเก็งกำไรของสัญญาขาย (short position) มากกว่าผลผลิตอ้อยที่แท้จริง ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำตาลโลกสูงขึ้นได้ในระยะสั้นหากกองทุนซื้อกลับ cover short
จากราคาน้ำตาลโลกที่ยังอยู่ระดับต่ำ เป็นผลดีต่อกลุ่มเครื่องดื่ม CBG และ OSP เราคาดต้นทุนน้ำตาลคิดเป็น 6% ของต้นทุนขาย ดังนั้น ราคาน้ำตาลโลกที่ลดลงมาจากจุดสูงสุดที่ 24 เซนต์ต่อปอนด์ ในเดือนก.พ. 2024 มาที่ 19 เซนต์ต่อปอนด์ในปัจจุบัน เป็นผลดีต่อต้นทุนเครื่องดื่มชูกำลังในส่วนการส่งออก ซึ่งอิงราคาน้ำตาลโลกเป็นต้นทุนการผลิต
Settrade Consensus ประมาณการกำไร KSL ปี 2024 ที่ 1.16 พันล้านบาท และ Dividend yield 2.4% ต่อปี ปัจจุบัน KSL เทรด PE2024 ที่ 9.4 เท่า (อดีตเทรด PER ที่ 9.8 เท่า)
สรุปประเด็นจาก Quick take
NEX
เน็กซ์ พอยท์
NEX แจ้งการออก PP, RO และ Warrant
แจ้งการออก PP, RO และ Warrant
View From Fundamental : อิงสมมติฐานการใช้สิทธ์เต็มจำนวน เบื้องต้นเราประเมินเงินที่ได้รับเข้ามาจากการPP, RO1 และ RO2ที่ 8,575 ล้านบาท จะคิดเป็นราคาหุ้นจากผลกระทบของ Price dilution ราว 40% ในแง่ของจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อEPS dilution 81 % อย่างไรก็ตามเงินที่บริษัทได้มา ( ไม่รวม Warrant ) หากอิงผลตอบแทนดอกเบี้ยที่ 3% จะคิดเป็นกำไรส่วนเพิ่มราว 250 ล้านบาท/ปี เราประเมินราคาเป้าหมายเบื้องต้นหลังการออกหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวที่ 1.23 บาท/หุ้นอิง PER 15.5 เท่า เรามองว่าในระยะสั้นราคาหุ้นน่าจะถูกกดดันจากประเด็นดังกล่าวไปอีกราว 1-2 เดือนก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน