รอมาตรการปลุกความเชื่อมั่น
SET INDEX ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ภายใต้บรรยากาศที่มูลค่าการซื้อขายบาง และ FUND FLOW ต่างชาติไหลออก สะท้อนภาวะที่ขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งต้องการมาตรการที่เข้ามาช่วยสร้างความเชื่อมั่นไม่ว่าจะเป็นมาตรการดูแลเรื่อง SHORT SELL หรือ LTF สำหรับปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน แรงกดดันหลักยังคงเป็นเรื่องการเมืองที่มีหลายเหตุการณ์ที่ต้องติดตาม ส่วนประเด็นเศรษฐกิจ การประชุม ครม.เศรษฐกิจวานนี้มีหลายแนวทางออกมาขับเคลื่อน ให้GDP GROWTH ปีนี้ขยับขึ้นไปที่ 3% เช่น การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอีก 1 ล้านคน , การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ, การดึงเม็ดเงินลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการจัด SOFT LOANปล่อยให้กับ SME 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผลSET INDEX ยังอยู่ในภาวะที่ขาดความเชื่อมั่น ขณะที่ในระยะสั้นยังไม่เห็นมาตรการที่เข้ามาเยียวยา วันนี้ประเมินกรอบ 1310 – 1328 จุด หุ้น TOP PICK เลือก CPALL, GULFและ PTTEP
นโยบานการคลังเข้มข้น หวังดัน SET ผ่านพ้นจุด BOTTOMภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เติบโตได้ราว 5.4%YOY ขณะที่ช่วง 10ปีย้อนหลัง ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยแค่ 3.3%YOY สะท้อนศักยภาพเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ จากปัญหาเชิงโครงสร้าง กดดัน GDP GROWTH บ้านเราเติบโตได้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ ASEAN
ปัญหาเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพประเทศเพื่อนบ้าน กำลังสะท้อนภาพจำเป็นเร่งด่วยในการฟื้นฟู ขณะที่การประชุม ครม. เศษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567 วานนี้ ได้ตั้งเป้าใหม่ เร่งผลักดันให้ GDP GROWTH ไทยในปี 2567 ขยายตัวแตะ 3%YOY (จากคาดการณ์ 2.4%) โดยขับเคลื่อนผ่านมาตรการสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
1. เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอีก 1 ล้านคน เป็น 36.7 ล้านคน ในปีนี้ (เป้าเดิม35.7ล้านคน) คาดช่วยผลักดัน GDP ได้ 0.12% ถือเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม อาทิ AOT, ERW, CENTEL เป็นต้น
2. เร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ เฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุนให้ได้ถึง 70% ภายในปีนี้คาดช่วยผลักดัน GDP ได้ 0.24% ถือเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้น
กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง อาทิ SCC, SCCC TASCO, STEC, CK เป็นต้น
3. ส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (BOI) โดยล่าสุดภาคเอกชนเริ่มเซ็นสัญญาลงทุนแล้ว และพร้อมที่จะเริ่มงานใน 3 ปี จะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 8 แสนล้านบาททั้งนี้ หากจะดึงเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวมาลงทุนในปีนี้ราว 3-4 แสนล้านบาทคาดช่วยผลักดัน GDP ได้ 0.14-0.25% ถือเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม อาทิ WHA, AMATA เป็นต้น
ประเด็นการเมืองร้อนแรงทั้งนอกและในประเทศ กดดันสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงต่อเนื่อง
ประเด็นการเมืองร้อนแรงทั้งนอกและในประเทศ กดดันสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงต่อเนื่อง นำโดย ตลาดหุ้นฝรั่งเศสที่วานนี้ปรับตัวลงแรง 1.35% หลังประธานาธิบดีฝรั่งเศสประกาศยุบสภาพร้อมเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ หลังจากพรรคพันธมิตรสายกลางของเขาพ่ายแพ้ให้กับพรรคเนชันแนลแรลลี (NATIONAL RALLY) ซึ่งเป็นฝ่ายขวาจัดในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป ขณะที่นายกเบลเยี่ยม ประกาศลาออกเช่นกัน หลังพรรคฝ่ายขวาจัดได้รับความนิยมมากขึ้น ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ นโยบายช่วยเหลือผู้อพยพและงบประมาณช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของ EU จะลดลง และจับตามองจากทิศทางความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภายุโรป คือ กรณีการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี(FTA) ไทย-EU ที่อาจชะงักหรือล่าช้าลงได้ในอนาคต
ส่วนประเทศไทยก็มีความไม่แน่นอนทางการเมืองเช่นกัน(รายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ MARKET TALK ประจำวันที่ 7 มิ.ย.67) ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมือง และเกิดความกังวลต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไปอีกระยะ จนกว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายเดือน มิ.ย.67 จึงทำให้FUND FLOW ต่างชาติไหลออกจาก SET INDEX ตั้งแต่ประเด็นการเมืองร้อนแรงขึ้นมากว่า 13 วันติดต่อกัน คิดเป็นมูลค่ารวม 2.4 หมื่นล้านบาท กดดัน SET INDEXปรับตัวลงกว่า 60จุด หรือ 4.4%อย่างไรก็ตามยังพอมีประเด็นบวกอยู่บ้างจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 5%(วานนี้ +3%) คาดเป็นตัวพยุงSET INDEX ให้ไม่ปรับฐานแรงเฉกเช่นวานนี้ เนื่องจาก SET มีน้ำหนักหุ้นกลุ่มปิโตรฯโรงกลั่น สัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3จากสัดส่วนทั้งหมด โดยหุ้นอย่าง IRPC BCP PTTGCTOP PTTEP PTT นั้น LAGGARD ราคาน้ำมันดิบทั้งสิ้น ถือเป็นโอกาสของนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนระยะกลาง-ยาว ได้เป็นอย่างดี
สรุป ประเด็นการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นทั้งในฝรั่งเศส + เบลเยี่ยม กดดันสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ไทย TIMELINE การเมืองที่ยังน่ากังวลในเดือนนี้ กดดันFLOW ต่างชาติไหลออกหุ้นไทย 13 วันติดต่อกัน รวมมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านบาทและส่งผลให้ SET ปรับตัวลงแรง 60 จุด อย่างไรก็ตามยังพอมีประเด็นบวกอยู่บ้างจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวแรงในช่วงที่ผ่านมา แนะนำหุ้นกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯ ที่ราคาหุ้นยัง LAGGARD ราคาน้ำมันดิบ อาทิ IRPC BCP PTTGC TOP PTTEP PTT เป็นต้น
มหากาพย์รถไฟฟ้าสายสีส้มใกล้ยุติ...BEM,CK ลุ้นข่าวดี
มหากาพย์โครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ต่อสู้กันยาวนานกว่า 4 ปี ใกล้ได้ข้อยุติวันพรุ่งนี้ (12 มิ.ย 67) ศาลปกครองสูงสุดมีนัดอ่านคำพิพากษาคดีพิพาทโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ BTSC เป็นโจทย์ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ข้อหาการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มรอบ 2 ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะมีการกำหนดหลักเกณฑ์กีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ถือเป็นคดีสุดท้ายที่ยังค้างคาอยู่ในศาล หากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาตามความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดี ศาลปกครองสูงสุด ในวันที่ 11 เม.ย 67 ที่ได้ให้ความเห็นว่าควรยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ก็น่าจะทำให้ รฟม. สามารถเซ็นสัญญากับ BEM ในฐานะที่เป็นผู้เสนอผลตอบแทนสูงสุดให้กับภาครัฐได้ภายในปีนี้ ซึ่งการได้เข้าไปดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ BEM จะส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญทั้งในเชิงความต่อเนื่องของรายได้ที่มีสัญญายาว 30 ปี และ SYNERGY ที่เกิดขึ้นจากความประหยัดต่อขนาดในการบริหารรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง รวมถึงการส่งต่อผู้โดยสารให้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นทางหลักของ BEM ในปัจจุบัน โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเพิ่มจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเกิดขึ้นกับ BEM เท่ากับ 2.00 บาท/หุ้น และได้รวมอยู่ในราคาเหมาะสมของ BEM ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 11.00 บาท แล้ว นอกจากนี้ผลบวกยังเกิดขึ้นกับ CK ในฐานะที่ CK จะเข้าไปรับงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกพร้อมงานติดตั้งระบบและจัดหาขบวนรถ มูลค่า 1.09 แสนล้านบาท ต่อจากBEM อีกด้วย โดยฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมของ CK ด้วยวิธี SUM OF THE PART ให้ราคาเหมาะสมที่ 27.00 บาท
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์