Today’s NEWS FEED

News Feed

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย Fast Fashion ปล่อยคาร์บอนเยอะยิ่งกว่า อุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกัน

432

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 มิถุนายน 2567)-------อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (คาร์บอนฯ) เฉลี่ย 1,700 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่าต่อปี หรือมีสัดส่วนประมาณ6-8% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ทั่วโลกซึ่งมากกว่าการปล่อยจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกันที่ 2-3% (UNFCCC, 2018)

 

ทุกปีทั่วโลกมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมากถึง 92 ล้านตันจะไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบขยะ ส่วนหนึ่งมาจากการเจริญเติบโตของ Fast Fashion โดยคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 134 ล้านตันต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยจะมีการปล่อยคาร์บอนฯ ที่ 4-8% ของทั้งประเทศ

 

บทนำ

อุตสาหกรรมแฟชั่น (สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม) มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งมากกว่าหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางเรือ อาจเรียกได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีส่วนร่วมในการทำลายสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีการใช้พลังงาน น้ำ และสารเคมีอย่างมาก รวมถึงมีการสร้างขยะ และการปนเปื้อนของเส้นใยไมโครไฟเบอร์เข้าสู่สิ่งแวดล้อมระหว่างการซักล้าง

นอกจากนี้ การผลิตสิ่งทอมีห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเกษตรกรและผู้แปรรูปเส้นใยดิบ เส้นด้ายและผ้า ผู้ทอผ้า ผู้ย้อมผ้า และผู้ผลิตรวมไปถึงผู้จำหน่ายสินค้า

รอยเท้าทางนิเวศของอุตสาหกรรมแฟชั่นมาจากไหนบ้าง

ด้วยห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและซับซ้อนจึงไม่น่าแปลกใจนักที่โดยเฉลี่ยอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (ไม่รวมรองเท้า) นี้มักปล่อยคาร์บอนฯ สูง ประมาณ1,700 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี[1] หรือมีสัดส่วนประมาณ 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั่วโลก (UNFCCC, 2018) ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกัน (2-3%) อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า จากข้อมูลล่าสุดในปี 2020  อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีอัตราการปล่อยคาร์บอนฯ อยู่ที่ 4% ซึ่งยังคงสูงกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือที่ 2% International Labour Organization[1] (องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) ได้เปรียบเทียบต่าง ๆ พบว่าการปล่อยคาร์บอนฯ และมลพิษส่วนใหญ่มาจากกระบวนการย้อมและการตกแต่ง ตามด้วยการเตรียมเส้นด้าย การผลิตเส้นใย และการผลิตผ้า ตามลำดับ โดยยังไม่รวมถึงการขนส่ง แต่คาดการณ์ว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ถึง5%

 

ในการคำนวนการปล่อยคาร์บอนฯ สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นค่อนข้างยากเพราะยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลมากนัก แต่ประเทศผู้ผลิตสิ่งทอหลักอย่างจีน อินเดีย และบังคลาเทศ (รูปที่ 3 และรูปที่ 4) ยังคงพึ่งพาถ่านหิน นอกจากนี้ การย่อยสลายของขยะสิ่งทอในสถานที่ฝังกลบหรือการเผาไหม้ต่าง ๆ ทำให้เกิดการปล่อยสารเคมีอันตรายและก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่สิ่งแวดล้อม[1]

 

เมื่อพิจารณาสัดส่วนการใช้พลังงาน ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งทอและเครื่องแต่งกายรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น มีการใช้พลังงานมากเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศจีน[2] โดยในประเทศบังกลาเทศ อุตสาหกรรมนี้ทำรายได้หลักจากการส่งออกประมาณ 81% ของรายได้ของประเทศ และมีการใช้พลังงาน 27%[3] และในประเทศตุรกี อุตสาหกรรมนี้มีการใช้พลังงานมากเป็นอันดับที่สาม รองจากเหล็ก เหล็กกล้า และซีเมนต์[4] โดยที่กล่าวมานั้นโดยทั่วไปอุตสาหกรรมแฟชั่นมีการใช้พลังงานหมุนเวียนน้อยกว่า 2%[5]

 

มีความเชื่อที่ว่าเสื้อผ้าจากที่มาจากเส้นใยสังเคราะห์มักทำร้ายธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ดี จากกราฟข้างต้น แสดงให้เห็นว่าเสื้อ 1 ตัวที่มาจากฝ้ายกลับปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุด โดยมาจากกระบวนการผลิตฝ้ายและการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ที่น่ากลัวคือแม้ว่า Polyester จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าแต่ย่อยสลายได้ยากโดยใช้เวลาหลายร้อยปีจะจึงหมดไป ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ทั้งสองทางเลือกจึงเป็นทางเลือกที่น่าลำบากใจสำหรับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นชวนคิดอีกว่า การผลิตเสื้อใหม่ 1 ตัว มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการขับรถเบนซินใน 1 วัน (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการขับรถ 20 กิโลเมตร = 1.92 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ปัจจุบันตลาดเสื้อผ้ามือสองได้รับความนิยมและเติบโตขึ้น โดย ThredUp ได้คาดการณ์ว่า ธุรกิจของเสื้อผ้ามือสองของโลกจะเติบโตสูงถึง 350 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027

 

อย่างไรก็ดี ความกังวลที่กล่าวมาอาจคลี่คลายลงได้ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งมีการทำรีไซเคิลประกอบกับการผลิตฝ้ายแบบออร์แกนิก ทำให้ปล่อยคาร์บอนฯ น้อยกว่าเส้นใยแบบอื่น ๆ และย่อยสลายได้ภายในหกเดือน เพราะผลิตโดยใช้เมล็ดพันธุ์ธรรมชาติ และไม่มีการใช้สารเคมีหรือสารป้องกันศัตรูพืชใด ๆ อย่างไรก็ดี ในสหภาพยุโรปพบว่า มีเพียงแค่ 1% ของสินค้าเครื่องนุ่งห่มที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ ซึ่งเป็นหนทางอีกยาวไกลที่ต้องได้รับการสนับสนุน

 

ทั่วโลกทิ้งเสื้อผ้า 92 ล้านตันต่อปี

ทั้งนี้ ทุกปีทั่วโลกจะมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นมา 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมีถึง 92 ล้านตันที่ไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบขยะ ส่วนหนึ่งมาจากการเจริญเติบโตของ Fast Fashion เนื่องด้วย Fast Fashion เป็นการผลิตเสื้อผ้าที่ราคาถูก คุณภาพต่ำ และออกแบบให้ตามสมัยเพื่อให้สามารถซื้อได้บ่อย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดการสูญเปล่าของทรัพยากรจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดขยะจากสิ่งทอที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเสื้อผ้าถูกทิ้งอย่างรวดเร็ว

 

โดยการผลิตเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2000 และยังไม่มีสัญญาณของการลดลง[1]และหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ ปริมาณขยะจาก Fast Fashion คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 134 ล้านตันต่อปีภายในสิ้นทศวรรษนี้ซึ่งมากกว่าที่ทิ้งทั้งหมดต่อปีในตอนนี้[2]  

 

หนึ่งในประเทศที่กำลังแก้ปัญหาขยะสินค้าแฟชั่นคือฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีนาคม 2024 นี้ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อควบคุมเสื้อผ้าจากอุตสาหกรรม Fast Fashion โดยระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะเก็บค่าปรับกับผู้ผลิตฐานทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนเงิน 5 ยูโร ต่อเสื้อผ้า 1 ชิ้น และอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10 ยูโร ภายในปี 2030 โดยไม่ใช่แค่ฝั่งผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพราะยังห้ามการโฆษณาบนสื่อทุกประเภทด้วย

 

บริบทและความท้าทายของประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยนั้นการส่งออกในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และอยู่ใน 20 อันดับแรกผู้ส่งออกสูงสุดของโลก โดยมีปริมาณการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มประมาณ 2,800 ตันต่อปี

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยจะมีการปล่อยคาร์บอนฯที่ 4-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั้งประเทศซึ่งใกล้เคียงกับเกณฑ์เฉลี่ยของโลก

 

อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาหลักของไทยคือข้อจำกัดของข้อมูลต่าง ๆ มิใช่เพียงของอุตสาหกรรมนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นจากการจัดทำฐานข้อมูลโดยใช้ระบบ ISSB เพื่อจัดทำ Carbon Accounting ที่เป็นมาตรฐานตามแนวทางของอุตสาหกรรมอื่น ๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภาคเอกชน ได้แก่

  • การใช้มาตรการส่งเสริม 3Rs (Reduce Reuse Recycle) และเศรษฐกิจแบบ BCG โดยในช่วงเริ่มต้นควรการให้เงินสนับสนุนหรือลดภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงการกระตุ้นการสร้างนวัตกรรมในอนาคต
  • การใช้กลไกภาษีเพื่อลดพฤติกรรม โดยอาจดำเนินการในทำนองกับประเทศฝรั่งเศสที่ดำเนินการกับ Fast Fashion ซึ่งอาจเริ่มต้นจากการเก็บค่าปรับ 20-50 บาทต่อชิ้น และอาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมในอนาคต

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงมาตรการจากภาครัฐเท่านั้น แต่ภาคเอกชนและผู้บริโภคเองที่จะต้องตระหนักรู้เพื่อเตรียมรับมือกับ Fast fashion และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนต่อไป

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

เฟด คงดอกเบี้ย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุ้นไทย พัก แบบปรับฐาน ในเช้าวันนี้ หลังจากวานนี้ ดัชนฯพุ่งแรง ประกอบกับ เฟด ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้