มุมมองตลาดหุ้นวันนี้
SETยังคงทิศทางลง: รับแรงกดดันจาก 1) แรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิมูลค่ากว่า 3.184 พันล้านบาทวานนี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิต่อเนื่องมากว่า 11 วันทำการแล้ว โดยมีมูลค่าขายสุทธิสะสมนับตั้งแต่ต้นปีกว่า 8.45 หมื่นล้านบาทกดดันหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวลงต่อเนื่องกดดันตลาด 2) ภาพความไม่แน่นอนทางการเมืองและไม่แน่ใจในเสถียรภาพของรัฐบาลยังกดดันตลาดไปจนกว่าจะถึงวันที่ 10 ซึ่งเป็นวันที่ถึงกำหนดนายกรัฐัมนตรีต้องเข้าชี้แจงในประเด็นการแต่งตั้ง บุคคลที่อาจไม่เหมาะสมทำให้ยังมีแรงกดดันตลาดหุ้นไทยเป็นระยะ 3) CPI และ Core CPI ไทยเดือน พ.ค. ที่คาดจะออกมาที่ 1.2%y-y และ 0.39%y-yขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย.ที่อยู่ที่ 0.19%y-y และ 0.37%y-yสร้างความกังวลถึงการคงอัตราดอกเบี้ยของ กนง. หากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัว 4) ตัวเลขนำเข้า และ ส่งออกจีน เดือน พ.ค. คาดออกมาที่ 4.3%y-y และ 5.7%y-y หากออกมาตามคาดอาจชี้ถึงอุปสงค์จากจีนที่ชะลอตัว
ด้านปัจจัยหนุนมาจาก 1)ECBปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามคาดทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาที่ 3.75%ตลาดหุ้นยุโรปตอบรับในทิศทางบวก มองยังเป็น Sentimentบวกให้แก่หุ้นที่อิงกับยุโรป 2) ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐ ตัวเลขผลผลิตนอกภาคเกษตร และตัวเลขUnit LaborCostที่เป็นตัวแทนของค่าจ้างแรงงาน ล้วนออกมาบ่งชี้ทิศทางการชะลอตัวของภาคแรงงานสหรัฐ สอดคล้องกับตัวเลข ADP Nonfarm Employment Change วานนี้ สร้างความหวังว่าเฟดอาจมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปีนี้ คือในการประชุมเดือน ก.ย. และ ธ.ค.จะเป็น Sentiment บวก แต่ตลาดยังมองเฟดจะคงดอกเบี้ยต่อในการประชุมวันที่ 13 มิ.ย. นี้ คืนนี้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐเดือน พ.ค. คาดออกมาที่ 1.86 แสนต าแหน่ง(ครั้งก่อน1.75แสนตแหน่ง)สะท้อนภาพการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นและอาจทำให้ตลาดกลับมากังวลการคงดอกเบี้ยของเฟดอกีครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน : 1) ECBลดดอกเบี้ย: CPF,GFPT, SAPPE, TEGH, TU, XO,DELTA,KCE , MINT 2)Defensive :ADVANC,BH, BDMS, CHG, TTW3)Spending : OSP, CBG, NSL, TNP, KTC, CRC, CPALL และ 4) Selective: WHA, TTA, BA
แนวรับ-ต้าน
1,320–1,335
ปัจจัยบวก
+ นายกฯ ระบุรัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนกว่า 60 ล้านคน ได้รับชมการแข่งขันฟุตบอลระดับโลกอย่าง ฟุตบอลยูโร 2024 หนุนการจับจ่ายในระยะสั้น
+ ตลาดหลักทรัพย์ อยู่ระหว่างการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างประเทศ โดยมีผู้จัดการกองทุนใหญ่ระดับโลกเข้าร่วมรับฟัง ตลท.ได้แจ้งข้อมูลกับนักลงทุนถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาในช่วงนี้รวมทั้งรับฟัง Feedback จากนักลงทุน
+ รัฐบาล เผยนทท.เข้าไทย ในช่วง 5 เดือนแรกเป็นชาวต่างชาติ 14.76ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 38% สร้างรายได้ 701,429 ล้านบาท
+ BOI ร่วมกับ CHANG AN ในการดึง Supply Chain จากจีนเข้าสู่ไทยเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ BEV ช่วงต้นปี 2025 ซึ่งจะช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ BEV ในอาเซียนปัจจุบัน ไทยอยู่ระหว่างเจรจาธุรกิจ 67 บริษัท มูลค่าการลงทุนกว่า3,600 ล้านบาท
ปัจจัยลบ
-บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ และบริษัทมาสด้า มอเตอร์ระงับการผลิตรถยนต์รวมทั้งสิ้น 5 รุ่นหลังจากทั้งสองบริษัทได้รับหนังสือรับรองคุณภาพรถยนต์อย่างไม่เหมาะสม จากการทดสอบคุณภาพที่ไม่เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดไว้ สร้างแรงกดดันต่อไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน
- คณะกรรมการ BoJ เผยญี่ปุ่นอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในปีหน้า หากการบริโภคยังคงซบเซา พร้อมชี้การปรับขึ้นค่าจ้างอาจไม่ใช่ก ารแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
- บลูมเบิร์กชี้ความเสี่ยงด้านการเมืองในประเทศไทยยังคงทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในพันธบัตรของไทย ทำให้เม็ดเงินกองทุนต่างชาติไหลเข้าซื้อพันธบัตรของไทยเพียง 511ล้านดอลลาร์สรอ.ในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดอินเดียและเกาหลีใต้
ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน
ธรีดา ชาญยิ่งยงค์- นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ และทางเทคนิค #9501
ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ, CISA – นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค #37928
กิตติ บัวบึง – นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน #038313
พศุตม์ โงวิวัฒน์ชัย, CISA – นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน #127632
ฐนพงษ์ แซ่โล้ – ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ภัทรดนัย จตุรพร – ผู้ช่วยนักวิเคราะห์