สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 4 มิถุนายน 2567)-------DUSIT ระบุปี67 เป็นปีที่บริษัทเริ่มปลดล็อกมูลค่าการลงทุนคาดรายได้รวมจากธุรกิจปัจจุบันปี67 เติบโตราว18-20% -ประเมินอัตรา EBITDAประมาณ14-15%ของรายได้รวม ปั้นรายได้ธุรกิจโรงแรมโต18-20% ด้านธุรกิจอาหารเด้ง30-35% หลังงบQ1/67 พลิกฟื้นอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)DUSIT เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในปี2567 เป็นปีที่บริษัทเริ่มปลดล็อกมูลค่าการลงทุน จากการเปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ในปลายไตรมาส 3 ปี2567ซึ่งเป็นเฟสแรกโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ในส่วนของธุรกิจโรงแรมบริษัทยังมีมุมมองบวกจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยบริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมในปี2567 จะเติบโตร้อยละ18-20จากปี2566 สำหรับธุรกิจอาหารยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ร้อยละ 30-35 จากการขยายสาขา การเพิ่มสินค้าใหม่ และการขยายฐานลูกค้า รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้ใหม่จากธุรกิจครัวกลางและจัดส่งอาหารในระบบคลาวด์ ในส่วนของธุรกิจการศึกษายังคงมีความท้าทายในหลักสูตรประกาศนียบัตร อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่า EBITDA ของธุรกิจการศึกษาจะกลับมาเป็นบวกในครึ่งปีแรกของปี2567บริษัทคาดว่ารายได้รวมจากธุรกิจปัจจุบันในปี2567 จะเติบโตประมาณร้อยละ 18-20 โดยมีอัตรา EBITDAประมาณร้อยละ 14-15 ของรายได้รวม
*ธุรกิจโรงแรม*
คาดแนวโน้มธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวได้ดีกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มอัตราการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมให้ดีขึ้น
• ภาพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี2567 องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNTWO) ประเมินว่าในปี 2567 ควรจะได้เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางทั่วโลกกลับมาที่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เทียบกับในปี2566 ที่การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาที่ร้อยละ 88 ของระดับก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส าหรับในประเทศไทยนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยที่ 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24จาก 28.2 ล้านคนในปี2566 โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 มีจ านวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 9.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.5จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
• บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากธุรกิจโรงแรมในปี2567 ที่ร้อยละ 18-20จากปี 2566 ซึ่งขับเคลื่อนจากสมมติฐานการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) จากการเพิ่มขึ้นของค่าห้องเฉลี่ย (ADR) และอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้น ตลอดจนการเปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ โดยบริษัทคาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่บริษัทลงทุนเองจะอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 75 สูงขึ้นจากร้อยละ 70ของปี2566ซึ่งเกินกว่าร้อยละ74 ที่เป็นระดับก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
• เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านเงินลงทุน บริษัทจะเน้นการขยายธุรกิจโรงแรมในรูปแบบของ Asset-light คือ รับจ้างบริหารจัดการ โดยมีแผนที่จะเพิ่มการเปิดโรงแรมในแบรนด์ระดับ Midscale มากขึ้นเพื่อให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วในปี 2567 บริษัทมีแผนจะเปิดโรงแรมใหม่ประมาณ 8-10 แห่ง ซึ่งรวมโรงแรมที่ลงทุนเอง 1 แห่ง ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ โดยคาดว่าจะเปิดในปลายไตรมาส 3
*ธุรกิจการศึกษา*
แนวโน้มหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree programme) ยังคงมีความท้าทาย ทั้งนี้คาดว่าEBITDA จะกลับมาเป็นบวกภายในครึ่งปีแรกของปี 2567
• บริษัทคาดว่าธุรกิจการศึกษายังคงเผชิญกับความท้าทายเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการศึกษาโดยรวมชะลอตัวโดยเฉพาะในส่วนของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ และจำนวนนักเรียนนักศึกษาระดับอุดมศึกษา(หลักสูตรปริญญาตรี/ปริญญาโท) ในระบบมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
• กลยุทธ์ของธุรกิจการศึกษาวางแผนมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความหลากหลายของหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นที่ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ นอกจากนี้ได้วางแผนการปรับสมดุลของการสร้างรายได้ภายใต้การจัดสรรทรัพยากรที่มีความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนหลักสูตรที่มีการขยายตัวและมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดี รวมถึงการพิจารณาปรับลดทรัพยากรส าหรับหลักสูตรที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย
• บริษัทคาดการณ์ว่าในปี 2567 ธุรกิจการศึกษาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้หลักจากหลักสูตรระดับอุดมศึกษาด้านการครัวและการประกอบอาหารของวิทยาลัยดุสิตธานี และรายได้ที่เพิ่มขึ้นของ The Food School Bangkok และคาดว่า EBITDA จะกลับมาเป็นบวกภายในครึ่งแรกของปี 2567
จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของวิทยาลัยดุสิตธานี ในขณะที่ The Food School Bangkok จะยังคงมีผลขาดทุนในช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากเริ่มประกอบการ
*ธุรกิจอาหาร*
ธุรกิจอาหารมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ร้อยละ 30-35จากการขยายสาขา การเพิ่มสินค้าใหม่ การขยายฐานลูกค้า รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้ใหม่จากธุรกิจครัวกลางและจัดส่งอาหารในระบบคลาวด์
• สำหรับธุรกิจการให้บริการจัดการอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติยังมีแนวโน้มที่ดีทั้ง Epicure Catering ในประเทศไทยและ The Caterers ในประเทศเวียดนาม ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด โดย Epicure Catering มีแผนในการขยายตลาดไปในช่องทางใหม่และขยายไปยังตลาดต่างประเทศ
• ธุรกิจผลิตเบเกอรี่และแฟรนไชส์ร้านขนมอบ Bonjour Bakery มีแผนการขยายสาขาประมาณ 10-12แห่งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังมีแผนการเพิ่มยอดขาย B2B ในกลุ่มลูกค้าใหม่
• Dusit Gastroซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการจัดหาอาหาร (Food Sourcing Hub) ให้กับโรงแรมในเครือดุสิตและลูกค้าภายนอก มีแผนในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่มากขึ้น เพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับลูกค้ากลุ่มโรงแรมร้านอาหาร กาแฟและธุรกิจจัดเลี้ยง (HoReCa) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
• ครัวกลางและจัดส่งอาหารในระบบคลาวด์หลังจากที่ Savor Eats เปิดตัวแพลตฟอร์ม “ปิ่นโตฮับ” (Pinto Hub)ศูนย์รวม “สตรีทฟู้ด” ร้านดังในตำนานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมีแผนที่จะนำเสนออาหารกว่า 60 เมนูจากผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมที่มีชื่อเสียงกว่า 20รายในปี2567
*ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์*
• โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมที่บริษัทร่วมทุนกับ CPN
⁻ การก่อสร้างโรงแรมในส่วนของโครงสร้างอาคาร (Super-structure) แล้วเสร็จตั้งแต่ปลายไตรมาส 4 ปี2566 ในเดือนเมษายนปี 2567 อยู่ระหว่างการติดตั้งและทดสอบอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจนงานตกแต่งภายใน ส าหรับงานโครงสร้างอาคาร (Super-structure) ของอาคารสำนักงาน ได้ก่อสร้างถึงชั้น L31และส่วนของอาคารที่พักอาศัยแล้วเสร็จถึงพื้นชั้น L15 ส าหรับอาคารศูนย์การค้าได้เริ่มงานก่อสร้างโครงสร้างอาคาร (Super-structure) ตั้งแต่ต้นปี 2567
⁻ แผนการเปิดโครงการในปัจจุบัน เฟสแรกจะเปิดในไตรมาส 3 ปี 2567โดยเริ่มจากโรงแรม ตามด้วยอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และอาคารที่พักอาศัยเป็นส่วนสุดท้ายภายในปี 2568
⁻ บริษัทตั้งเป้าหมายการขายอาคารที่พักอาศัยในปี 2567 ที่ร้อยละ 85ของพื้นที่ขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567มียอดขายประมาณร้อยละ 78 ของพื้นที่ขาย โครงการมีแผนที่จะเริ่มทยอยโอนห้องชุดให้แก่ผู้ซื้อในช่วงปลายปี 2568
• โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ แฮมป์ ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต เป็นโครงการร่วมทุนกับ บมจ. ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ และได้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขายและโอนห้องชุดที่เหลืออยู่
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1 ปี2567 พลิกฟื้นอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทมีรายได้รวมรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่2,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ15.0 จากไตรมาส 4 ปี2566 สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจโรงแรมและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมในไตรมาสนี้มาจากอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่ลงทุนเองที่ระดับร้อยละ 81.4 ซึ่งเป็นผลจากฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) มาตรการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวจากภาครัฐ และจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราการเข้าพักในไตรมาสนี้ยังไม่กลับไปเท่ากับระดับอัตราการเข้าพักในไตรมาส 1ของช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่บริษัทสามารถปรับอัตราค่าห้องเฉลี่ยได้มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึน้ ร้อยละ 27.0 จากไตรมาส 4 ปี 2566
นอกจากนี้ธุรกิจการศึกษามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ตามแผนที่วางไว้ขณะที่รายได้ธุรกิจอาหารยังเติบโตจากธุรกิจให้บริการจัดหาอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติ ส่งผลให้บริษัทมีEBITDA รวม 510 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 86.1 จากไตรมาส 4 ปี2566 บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 9 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ -146 ล้านบาทไตรมาส 4 ปี2566
////จบ////