Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

691

 

"Selective Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "เป็นจุดเริ่มฟื้นตัว" ต้าน 1359/1364 จุด รับ 1343/1340 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐและเอเชียฟื้นเด่น ช่วงไทยปิดทำการ แรงกดดัน US Bond Yield อายุ 10ปี ช่วงไทยปิดทำการคลายตัว ลงรวม -20 bps สู่ 4.4% หลังจากเงินเฟ้อ PCE เม.ย. 24 +0.3%m-m ทรงตัวจาก prev. ตามคาด และมีสัญญาณชี้นำโอกาสเงินเฟ้อค่อยๆลดลง ระยะถัดไป อาทิ ยอดจับจ่ายผู้บริโภค +0.2%m-m รวมถึง PMI ภาคผลิต (ISM) พ.ค. 24 ต่ำกว่าคาด อยู่ในระดับหดตัว 2 เดือนต่อกัน ขณะที่พัฒนาการฝั่ง Asia ในจีนยังเป็นบวก PMI ภาคผลิต Caixin เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 7 เดือนอยู่ที่ 51.7 จุดทำจุดสูงสุดในรอบราว 2 ปี มองหนุนจิตวิทยาบวกฝั่ง Asia โดยเฉพาะ SET ที่ผ่านการปรับฐานความกังวลหลากหลายไปแล้ว รวมถึงการ Rebalance ของ MSCI จนปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุน ค่า Current และ Forward Equity Risk Premium (ERP) ล่าสุดอยู่ในกรอบ 3.4-4.0% (> Avg 3.06%) ประเมิน SET อยู่ในโซนฐานที่มีโอกาสเริ่มฟื้นตัว มองหุ้นนำ กลุ่ม Yield พีคในรอบนี้หนุน (ชิ้นส่วน,เช่าซื้อ,โรงไฟฟ้า) กลุ่มได้ประโยชน์ราคาน้ำมันดิ่งลงแรง กลุ่มอิงจีน วันนี้แนะ MTC, BTS (Bottom Out Plays) , BJC


Daily outlook: "Sideways" ต้าน 1359/1364 จุด รับ 1343/1340 จุด

What happened around the world ?

• (*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ปรับขึ้นทุกดัชนีรับตัวเลข PCE ดีกว่าคาด และเมื่อวานปรับขึ้นต่อ S&P500 +0.11%, Nasdaq +0.56% แม้ Dow jones -0.3%d-d, โดย Sectorใน S&P500 กลุ่มที่ Outperform คือ IT, Healthcare, ICT ฯลฯ กลุ่มที่ Underperform คือ Energy, Utilities ฯลฯ หุ้นที่รับขึ้นเด่นคือ กลุ่ม High Growth อาทิ NVDIA +4.8%, Meta+2.3%, Apple +0.93%

•(*) US Econ : เงินเฟ้อ(PCE) เดือนเม.ย.+2.7%y-y และ +0.3%m-m inline ที่ตลาดคาด ส่วน Core PCE เดือน เม.ย. +2.8%y-y ตามตลาดคาดและ +0.2%m-m ต่ำกว่าตลาดคาด 0.3% หลักๆเป็นจากหมวด Services ชะลอตัวลง และหมวดการบริโภคที่ชะลอสะท้อนรายงานตัวเลข Personal Income +0.27%m-m ตามคาดจาก Wage ชะลอตัวลง Personal Spending +0.2%m-m ต่ำคาด โดยรวมทำให้ Real Personal Spending (นำเงินเฟ้อเข้ามาคำนวณ)เดือนนี้ -0.05%m-m สะท้อนถึงการชะลอตัวลงในส่วนการใช้จ่ายรายบุคคล KSS ยังคงมุมมองตามเดิม อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มชะลอลงเข้ากรอบของ Fed ที่ 2% หนุนทิศทางดอกเบี้ยผ่านจุด Peak ไปแล้ว

• (+) Global PMI: JP Morgan ร่วมกับ S&P รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตของโลกเดือน พ.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.9 จาก 50.3 ในเดือน เม.ย. นับเป็นการปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 22 เดือน **เป็นจิตวิทยาบวกต่อภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ

•(*/+)China PMI : ตัวเลขออกมาผสมผสานโดยดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือน พ.ค.พลิกลดลงมาอยู่ที่ 49.5 จุดต่ำกว่าตลาดคาดที่ 50.5 จุด(< 50 จุดบ่งชี้ภาคผลิตชะลอตัว) ส่วนภาคบริการอยู่ที่ 51.1 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 51.5 จุดแต่ฝั่งธุรกิจขนาดเล็กยังแกร่ง อิง CAIXIN PMI จีนเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 7 เดือนอยู่ที่ 51.7 จุดทำจุดสูงสุดในรอบราว 2 ปีหรือตั้งแต่ มิ.ย. 2022 ดีกว่าคาด(หลักๆมาจาก New Orders เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้บริษัทต่างๆ มีการจัดซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้น) KSS ยังคงมุมมองภาพเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดและค่อยๆฟื้น มองเป็นจังหวะตั้งรับหุ้นอิงจีน เน้นกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ IVL กลุ่ม Packgaing อาทิ SCGP

•(*/+)Asia PMI & Export: 1.)ไต้หวันรายงาน PMI ภาคการผลิตพลิกมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 25 เดือน(New Orders เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตลาดในประเทศ) 2.)เกาหลีใต้ รายงาน PMI ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี (New Orders เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ) และตัวเลขส่งออกเดือน พ.ค.+11.7%y-y หลักๆส่งออก Chip +54.5%y-y เรือ +108.4%, รถยนต์ +4.8% 3.) เวียดนาม PMI ภาคการผลิตยืนโซนบวกเป็นเดือนที่ 2 แต่ Flat New Orders ชะลอตัว KSS ประเมินภาพ PMI เอเซียที่ปรับขึ้นต่อเนื่องผสานยอดส่งออกประเทศเอเซียเหนือที่ยังดีต่อ มองบวกต่อหุ้นในกลุ่มอิงภาคผลิต TU, SCGP, HANA

•(*) India Election : ตลาดหุ้น India ปรับขึ้นทำ All time high รับ 1.)รายงาน GDP 1Q24 อินเดีย +7.8%y-y ดีกว่าตลาดคาด 2.)ผลการเลือกตั้งอินเดีย Exit poll พรรค"BJP ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี" ชนะสมัยที่ 3 (รัฐบาล Landslide) หนุน sentiment ของการลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นอินเดีย KSS มองเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นอินเดีย เสถียรของรัฐบาล ภาพการกระตุ้นเศรษฐกิจและความต่อเนื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยคำแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ผ่าน KSs ifund เน้น กองทุน BBHRATA

•(*/+) NVDIA : บริษัท Nvidia ประกาศจะอัปเกรด "ชิป AI" รุ่นใหม่ทุกปี โดยเตรียมออก Blackwell Ultra ในปี 2025 และ "Rubin" ชิปสุดล้ำในปี 2026 KSS ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Semiconductor บวกต่อ HANA

 

• (*) US Bond & Dollar : Bond yields ระยะสั้น เป็นขาลงชัดปรับลงติดต่อกัน 3 วัน อายุ 10 ปี ปรับลงรวม -20 bps มาอยู่ที่ 4.41% เช่นเดียวกับอายุ 2 ปี 3 วันปรับลงรวม -14 bps อยู่ที่ 4.82% โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อกับหุ้นในกลุ่มอิเล็กฯ, กลุ่มการเงิน และกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่จะลบกับกลุ่มธนาคารและประกัน ในวันนี้ ขณะที่ Dollar Index อ่อนค่าแรงและต่อเนื่อง 3 วันรวม 1% อยู่ที่ 104.0 +/- จุด (ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์และเป็นโซนแนวรับสำคัญ) เป็นปัจจัยหนุนค่าเงินสกุลเอเซียวันนี้แข็งค่าต่อ จิตวิทยาบวกต่อ Fundflow

•(*/-) Oil น้ำมันดิบ Brent -3.39%d-d ปิดที่ US$ 78.36/barrel น้ำมันดิบ West Texas -3.60%x d-d ปิดที่ US$ 74.08/barrel แรงกดดันหลักมาจาก เนื่องจาก ความกังวล Oversupply ในตลาดน้ำมันจะเพิ่มหลักที่ประชุม OPEC+ (ซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ฯลฯ) ลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจวันละ 2.2 ล้านบาร์เรล ขยายเวลาไปจนถึง 3Q24 แต่จะเริ่มกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตอีกครั้งใน ต.ค.2024 - ก.ย.2025 โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อ SET Index วันนี้ และหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP (เนื่องจากมีสัดส่วนราว 10%ของ Market cap)ในทางตรงข้ามบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจต้นทุนน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน AAV, BA กลุ่มเครื่องดื่ม ICHI

• (+) Container: SCFI Index ล่าสุดปรับขึ้นสู่ระดับ 3045 จุด เพิ่มขึ้น 341 จุด หรือ +12.6%wow **เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มเรือ Container คือ RCL SINO LEO

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: ตลาดหุ้นไทยวันทำการล่าสุด ปรับตัวลดลง -5.86 จุด -0.43% ปิดที่ 1345.66 จุด กลุ่มหนุน คือ ชิ้นส่วนฯ (DELTA, HANA) ตอบรับจิตวิทยาบวก US Bond Yield 10ปี อ่อนตัวลงแรง -7 bps หลังปรากฎสัญญาณเศรษฐกิจไม่แข็งแกร่งมากเท่าที่ตลาดกังวลไปล่วงหน้า กลุ่มประกัน (TIPH) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) ตามราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง โดยผลบวก Driving Season ต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม สะท้อนจากสต๊อคน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด กลุ่มอสังหาฯ (LH) จากผลกระทบหุ้นหลุดออกจากดัชนี MSCI Global Stanadard Index

• (*) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -111.6 ล้านเหรียญฯ แต่ทั้งนี้ เม็ดเงินดังกล่าวต่ำกว่ายอด Outflows จากการ Rebalance ของดัชนี MSCI ที่ราว -200 ล้านเหรียญฯ ทำให้ยอดสุทธิประเมินน่าจะเป็นภาพต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย ซื้อพันธบัตร +7.4 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Short -3,447 สัญญา เงินบาทแข็งค่า 36.6 +/- บาท

• (+) TH Econ: แบงก์ชาติรายงานภาวะ ศก.ไทยเดือน เม.ย. ปรับตัวดีขึ้นในทุกกิจกรรม นำโดย การบริโภคภาคเอกชน +2.6%yoy และ 1.6%mom(มี.ค. +0.5%yoy และ -0.8%mom), การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 6.3%yoy และ 5%mom, ส่งออก+5.8%yoy และ 4.8%mom(มี.ค. -10%yoy และ +2%mom), การผลิตภาคอุตสาหกรรม +3.4%yoy และ 3.5%mom( มี.ค. -4.9%yoy และ -2.5%mom) สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินทิศทาง GDP ของไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วใน 1Q24 และจะเห็นสัญญาณเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ 2Q24 เป็นบวกต่อกลุ่ม Domestic Play

• (+) Cons: "กรมราง" ดัน รถไฟทางคู่ เฟส 2" 5 เส้นทาง วงเงิน 2.24 แสนล้านบาท จ่อชงบอร์ดรฟท.รอบใหม่ ขณะที่ทางคู่สายขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน 2.97 หมื่นล้านบาท เปิดประมูล มิ.ย.นี้ มองบวกต่อกลุ่มรับเหมา เน้น STEC

• (*/+) TRUE x EURO 2024 : TrueVisions คว้าลิขสิทธิ์ "ฟุตบอลยูโร 2024" หรือ UEFA EURO 2024 ซึ่งจะมีขึ้นตั้งแต่ 15 มิ.ย. ถึง 15 ก.ค. 24 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี แม้ไม่ถ่ายทอดผ่านฟรี ทีวีเหมือนในอดีต แต่ราคาแพ็คเกจไม่สูงราว 249 บาทต่อเดือน (ดูได้ 2 Users) หนุนเรามองมีโอกาสที่จะมีกระแสคึกคักไม่ต่างจากฟุตบอลยูโรครั้งที่ผ่านๆมา ซึ่งเม็ดเงินหมุนเวียนคึกคัก 1.5-1.8 หมื่นล้านบาท นับว่ามีนัยสำคัญ เทียบกับช่วงเวลามหกรรมที่สั้นราว 1 เดือน โดยมีสินค้าหลักที่ความต้องการพุ่งสูงขึ้นช่วงเวลา ได้แก่ อาหาร+เครื่องดื่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา

จากการผลการศึกษาผลการเคลิ่นไหวอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกลุ่มสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีเทศกาลเกิดขึ้นย้อนหลัง 5 ครั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้ออุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงมหกรรมดังกล่าว อาทิ สื่อสาร โรงแรม ค้าปลีก และอาหาร ให้ผลตอบแทน 7.2% 6.3% 4.5% และ 1.8% ในช่วงฟุตบอลยูโร 3 รอบ (ไม่รวมรอบที่มี Market Risk ในปี 2008 (Subprime Crisis) และ 2021 (COVID-19)) โดยพบว่ากลุ่มอาหารระยะหลังที่ทยอยมีหุ้นเครื่องดื่มเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น แม้ในช่วงปี 2021 ที่ตลาดมีปัจจัยเสี่ยง Market Risk ยังสามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาดได้ที่ +1.0% vs SET -5.3%

เชิงกลยุทธ์ เรา พบว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวที่มักให้ผลตอบแทนเด่นชนะตลาดในช่วงเวลาที่มีเทศกาลฟุตบอลยูโรเฉลี่ย 15.3%-2.7% ถือเป็นชุดหุ้นที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับการเก็งกำไรในรอบตลาดปัจจุบันที่กำลังตั้งฐานฟื้นตัว ได้แก่ CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO GLOBAL SAPPPE DOHOME OSP

• (*/+) FDI : นักลงทุนไต้หวัน จาก Taiwan Electrical and Electronic Manufacturers' Association (TEEMA) กว่า 30 คนจาก 17 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในกิจการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น PCB, PCBA และ HHD เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนเพิ่มเติม ในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า มองเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มเข้ามาลงทุนในไทยต่อจากฝั่ง EV, Data Center ประเมินเป็นโอกาสของ IE developers ในการขายที่ดิน หรือปล่อยเช่าโรงงาน คลังสินค้า เน้น WHA

• (*/+) LTF: ระยะถัดไปแนะนำติดตามความคืบหน้าการพิจารณามาตรการ LTF หลังจาก FETCO มีการหารือตั้งแต่ 21 พ.ค. ซึ่งคาดมีข้อสรุปกับกระทรวงการคลังช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้

 

Daily Strategy : MTC, BTS, BJC เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "เป็นจุดเริ่มต้นฟื้นตัว" ภาพต่างประเทศเป็นบวก หนึ่งในแรงกดดันตลาดช่วงที่ผ่านมา US Bond Yield อายุ 10ปี ช่วงไทยปิดทำการปรับตัวลดลง -20 bps คลายแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุน Equity Risk Premium ทั้ง Current และ Forward อยู่ที่ 3.4% และ 4.0% vs Avg. 3.06% โดยวันนี้มองหุ้นนำ 1) กลุ่ม Yield พีคในรอบนี้หนุน (ชิ้นส่วน,เช่าซื้อ,โรงไฟฟ้า) 2) กลุ่มได้ประโยชน์ราคาน้ำมันดิ่งลงแรง 3) กลุ่มอิงจีน

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP, IVL, GLOBAL, DOHOME)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, OSP, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, BJC, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)

• MAY24 Best Picks: ICHI, BJC, HANA, IVL, MINT, CPALL, OSP

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC


Strategy Update : Tourism "New Major Stimulus New Journey"

• Upside ของอุตสาหกรรมอิงภาคบริการรอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้น หลังวานนี้รัฐฯอนุมัติมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวชุดใหญ่ โดยมีมาตรการเด่น คือ การเปิดฟรีวีซ่าเพิ่มเป็น 93 ประเทศ จากเดิม 57 ประเทศ พำนักสูงสุด 60 วัน มีผลตั้งแต่ 1 มิ.ย. 24 ประเมินฐานนักท่องเที่ยวเป็น Upside เฉลี่ยปีละ 2.0-2.5 ล้านคน (อิงฐานนักท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์มาตรการกล่าวราว 28% ของนักท่องเที่ยวรวม *คาดการณ์นักท่องเที่ยวปี 2024F ที่ 36 ล้านคน จะได้ฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มพร้อมเร่งขึ้น 10 ล้านคน ผสาน ข้อมูลนักท่องเที่ยวจีนที่เร่งขึ้นเฉลี่ย 16% หลังมีมาตรการ ฟรี วีซ่า ถาวร ซึ่งมีผลช่วงฤดูกาลมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เราเชื่อว่าผลบวกที่เกิดจริงโดยไม่มีปัจจัยฤดูกาลจะสูงขึ้นกว่าระดับดังกล่าว) โดยคาดจะส่งผลบวกในปี 2024F ก่อน 1.0 +/- ล้านคน โดยคาดชาวตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ช่วงร้อน-ร้อนจัดน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มสร้าง Upside ขณะที่ระยะกลาง-ยาว หากมองเป้าหมายรายได้ท่องเที่ยวรัฐฯ ที่วางเป้าหมายเพิ่มเข้ามา 8 แสน – 1 ล้านล้านบาท (สูงมาก vs ปัจจุบัน YTD ถึง 26 พ.ค. ซึ่งอยู่ราว 6.82 แสนล้านบาท) โดยให้ราวครึ่งนึงมาจากผลบวกนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น (อีกครึ่งนึง คาดมาจากกลุ่มเดิมที่คาดหวังการเข้ามาท่องเที่ยวไทยนานขึ้น) เราประเมินจะบ่งชี้ Upside นักท่องเที่ยวที่รัฐฯคาดสูง 8-10 ล้านคน

• แนวโน้มดังกล่าว เราคาดจะช่วยตลาดค่อยๆประเมินภาพ Upside ต่อกลุ่มอุตสาหกรรมภาคบริการ อาทิ ท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก ร.พ. สื่อสาร เชิงกลยุทธ์ เน้นลงทุนหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์สูง ได้แก่ AOT (TP-70.5) MINT(TP-42) ERW(TP-6.2) BH(TP-275) BCH(TP-22.8) CPALL (TP-80) BJC(TP-33) TRUE(TP-10.3)

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

• Strategy Update : SET50/100 2H24 Second update

ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้า SET50/SET100 เริ่มใช้จริงรอบ 2H24 หนุนให้ BJC เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์ และกลับเข้ามาในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

วันนี้ตลาดหลักทรัพย์อัพเดทสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับเกณฑ์สภาพคล่องในการคัดเลือกหุ้นเข้า SET50/100 และจะเริ่มใช้จริงรอบ 2H24 เราคาดเป็นตัวหนุนหุ้น BJC กลับเข้ามาอยู่ในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

โดยสำหรับคาดการณ์หุ้น SET50/SET100 ล่าสุดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC (โอกาสเข้า 100% กรณีปรับเกณ์), BCP (โอกาสเข้า 90%), TIDLOR (โอกาสเข้า 90%) และ ITC (โอกาสเข้า 70%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU, (โอกาสหลุด 70%), SAWAD (โอกาสหลุด 70%), KCE (โอกาสหลุด 90%) และ COM7 (โอกาสหลุด 90%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 7 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, QH, SKY, JAS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 7 บริษัท คือ AURA, FORTH, MOSHI, ORI, RCL, SNNP, TKN

กลยุทธ์ :แนะนำ เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 โดย เราชอบ BJC, BCP และ ITC ส่วน SET100 เราแนะนำเก็งกำไร BA, CKP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Tourism "New Major Stimulus New Journey"

• Upside ของอุตสาหกรรมอิงภาคบริการรอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้น หลังวานนี้รัฐฯอนุมัติมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวชุดใหญ่ โดยมีมาตรการเด่น คือ การเปิดฟรีวีซ่าเพิ่มเป็น 93 ประเทศ จากเดิม 57 ประเทศ พำนักสูงสุด 60 วัน มีผลตั้งแต่ 1 มิ.ย. 24 ประเมินฐานนักท่องเที่ยวเป็น Upside เฉลี่ยปีละ 2.0-2.5 ล้านคน (อิงฐานนักท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์มาตรการกล่าวราว 28% ของนักท่องเที่ยวรวม *คาดการณ์นักท่องเที่ยวปี 2024F ที่ 36 ล้านคน จะได้ฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มพร้อมเร่งขึ้น 10 ล้านคน ผสาน ข้อมูลนักท่องเที่ยวจีนที่เร่งขึ้นเฉลี่ย 16% หลังมีมาตรการ ฟรี วีซ่า ถาวร ซึ่งมีผลช่วงฤดูกาลมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เราเชื่อว่าผลบวกที่เกิดจริงโดยไม่มีปัจจัยฤดูกาลจะสูงขึ้นกว่าระดับดังกล่าว) โดยคาดจะส่งผลบวกในปี 2024F ก่อน 1.0 +/- ล้านคน โดยคาดชาวตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ช่วงร้อน-ร้อนจัดน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มสร้าง Upside ขณะที่ระยะกลาง-ยาว หากมองเป้าหมายรายได้ท่องเที่ยวรัฐฯ ที่วางเป้าหมายเพิ่มเข้ามา 8 แสน – 1 ล้านล้านบาท (สูงมาก vs ปัจจุบัน YTD ถึง 26 พ.ค. ซึ่งอยู่ราว 6.82 แสนล้านบาท) โดยให้ราวครึ่งนึงมาจากผลบวกนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น (อีกครึ่งนึง คาดมาจากกลุ่มเดิมที่คาดหวังการเข้ามาท่องเที่ยวไทยนานขึ้น) เราประเมินจะบ่งชี้ Upside นักท่องเที่ยวที่รัฐฯคาดสูง 8-10 ล้านคน

• แนวโน้มดังกล่าว เราคาดจะช่วยตลาดค่อยๆประเมินภาพ Upside ต่อกลุ่มอุตสาหกรรมภาคบริการ อาทิ ท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก ร.พ. สื่อสาร เชิงกลยุทธ์ เน้นลงทุนหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์สูง ได้แก่ AOT (TP-70.5) MINT(TP-42) ERW(TP-6.2) BH(TP-275) BCH(TP-22.8) CPALL (TP-80) BJC(TP-33) TRUE(TP-10.3)

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

• Strategy Update : SET50/100 2H24 Second update

ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้า SET50/SET100 เริ่มใช้จริงรอบ 2H24 หนุนให้ BJC เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์ และกลับเข้ามาในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

วันนี้ตลาดหลักทรัพย์อัพเดทสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับเกณฑ์สภาพคล่องในการคัดเลือกหุ้นเข้า SET50/100 และจะเริ่มใช้จริงรอบ 2H24 เราคาดเป็นตัวหนุนหุ้น BJC กลับเข้ามาอยู่ในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

โดยสำหรับคาดการณ์หุ้น SET50/SET100 ล่าสุดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC (โอกาสเข้า 100% กรณีปรับเกณ์), BCP (โอกาสเข้า 90%), TIDLOR (โอกาสเข้า 90%) และ ITC (โอกาสเข้า 70%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU, (โอกาสหลุด 70%), SAWAD (โอกาสหลุด 70%), KCE (โอกาสหลุด 90%) และ COM7 (โอกาสหลุด 90%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 7 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, QH, SKY, JAS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 7 บริษัท คือ AURA, FORTH, MOSHI, ORI, RCL, SNNP, TKN

กลยุทธ์ :แนะนำ เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 โดย เราชอบ BJC, BCP และ ITC ส่วน SET100 เราแนะนำเก็งกำไร BA, CKP

 

 

• BTS (Buy, TP6.2): BTS's share price fell almost 15% last Friday due to several factors including MSCI's elimination, poorer 4QFY24 and fear of capital increase. The real impact on fundamentals is poorer 4QFY24 result from higher loss contribution (pink and yellow lines). We revised down FY25-26F earnings to reflect the softer performances of these two lines. Our new estimate still calls for earnings in recovery in FY25F onward. Trading below Bt6.4 (value of O&M, E&M), BTS is cheap.

• VGI (Trading Buy, TP1.7): เรามอง Positive คาดผลการดำเนินงาน VGI ฟื้นเป็นกำไรในปี FY24/25F (เม.ย.24-มี.ค.25) ในรอบ 3 ปี หลังขาย KEX หยุดรับส่วนแบ่งขาดทุน และธุรกิจหลักผลการดำเนินงานฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นลดลงมาซื้อขายที่ PBV'24/25F เพียง 0.7x สะท้อนความกังวลการด้อยค่าเงินลงทุนใน JMART แล้ว เปลี่ยนคำแนะนำเป็น Trading Buy (TP 1.70 บาท)

• Commerce(Bullish): เรามอง "ลบเล็กน้อย" ต่อทิศทาง SSSG ช่วงปลายพ.ค.24 แผ่วลง เพราะกำลังซื้อฟื้นช้าและสภาพอากาศยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้ SSSG 2QTD ของหลายผู้ประกอบการดูแย่ลงจาก 1Q24 โดยเฉพาะ HMPRO, BJC และ CRC อย่างไรก็ดี เบื้องต้น เรามองประเด็นสภาพอากาศเป็นปัจจัยลบเพียงชั่วคราว คาด SSSG ช่วงที่เหลือจะค่อยๆฟื้นจากการใช้จ่ายงบประมาณและการทยอยออกมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ดังนั้น เรายังคงคาดกำไรปกติปี 24F กลุ่มค้าปลีกโตเร่งขึ้น +20% ส่วนด้าน valuation พบว่าราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับลงมาซื้อขายขายเหลือ 25.7เท่า ลงมาซื้อขายใกล้ช่วงปีโควิด (ปี 20) หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ย -1.4SD จึงมองเป็นจังหวะเลือกลงทุน เลือก CPALL (TP80.0) และ CPAXT (TP39) เป็น top picks กลุ่ม โดยชอบที่ i) คุณภาพการเติบโตของกำไรที่มาจากทั้ง SSSG บวกสูงกว่ากลุ่ม กับการปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร, ii) ได้ประโยชน์สูงจากกำลังซื้อกลุ่มรากหญ้าที่จะฟื้นใน 2H24F และ iii) ระยะยาวจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างกิจการ

• ICHI(Buy, TP22): We resume coverage with BUY, TP Bt22. We like ICHI for its decent core profit growth of 19% (to Bt1.3b) in 2024F underpinned by: 1) the 15% revenue growth and 2) 1.1ppt gross margin expansion (to 24.5%) primarily from the growing demand of green tea and herbal drinks in Thailand. We think the especially hot weather in Thailand will be beneficial to 2Q24F outlook. ICHI is trading at 16.4x 2024F P/E, undemanding compared to the EPS growth of 19%. ICHI is our top pick for the Thai beverage sector.


2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

·Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หมดแรง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นหลายตลาด หมดแรง อ่อนตัวลง แต่หุ้นไทย วูบไป 1.44% ในเช้าวันนี้ ด้วยใช้ข่าวดี .....

ออมแรง ออกแรง By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง ยามนี้ ต้อง ออมแรง ออกแรง พลิกแพลงตามสถานการณ์ ด้วยการเมืองในประเทศ มีหลายกระแส ทั้งปรับครม.....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้