Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

425


BUY & HOLD (...นานขึ้น)
SET INDEX ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยการเมือง ซึ่งส่งผลทำให้FUND FLOW ไหลออก และ มูลค่าการซื้อขายเบาบาง แต่อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่าระดับ SET INDEX ที่ 1350 จุด เป็นระดับที่มีนัยสำคัญทางVALUATION ไม่ว่าจะมองจาก MARKET EARNING YIELD GAP, PERหรือ PBV ที่บริเวณดังกล่าวจึงเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการซื้อหุ้นสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามนอกจากสถานการณ์การเมืองแล้ว ในเดือน มิ.ย.67 จะเป็นช่วงเวลาที่มีการประชุมธนาคารกลางหลายแห่ง โดยเราเชื่อว่าจะเริ่มเห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย จาก ECBขณะที่ FED และ กนง. บ้านเราน่าจะคงดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องจับตา เนื่องจากเรากำลังใกล้เพดาน 70% ของ GDP ที่กำหนดไว้เป็นกรอบวินัยกาคลังSET INDEX น่าจะผันผวนในกรอบแคบ 1340 – 1358 จุด เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน แต่หากมีความชัดเจนเรื่อง LTF ก็น่าจะทำให้ตลาดดูดีขึ้น หุ้น TOP PICK เลือก CPALL, TIDLOR และ WHA

 

ความท้าทายของรัฐบาลท่ามกลางภาระหนี้สาธารณะพุ่งสูง
การเพิ่มงบประมาณกลางปี จำนวน 1.22 แสนล้านบาทของปี 2567 เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ผ่านการทำโครงการ DIGITALWALLET เติมเงิน 10,000 บาท ขณะที่กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านลบ. ทำให้มีการปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง (ปี2568 –71) ครั้งที่ 2 โดยผลลัพธ์นำมาซึ่งงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้น รวมถึงหนี้สาธารณะ/GDP เสี่ยงปรับตัวสูง 68.9% ในปี 2570(ใกล้เพดาน 70%)สำหรับหนี้สาธารณะบ้านเราล่าสุดอยู่ที่ 11.47 ล้านล้านบาท ส่วนประมาณการGDP อยู่ที่ 18.11 ล้านล้านบาท ฝ่ายวิจัยฯ ได้ประเมินสมมุติฐานต่างๆ พบว่า ในกรณีEXTREME CASE รัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มได้ราว 1.2 ล้านล้านบาท ภายใต้ GDPเท่าเดิมก็ยังอยู่ในกรอบ 70% หนี้สาธารณะต่อ GDP หรือจะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้ถึง 1.8ล้านล้านบาท หาก GDP เติบโตได้ 5% ในปีนี้ แต่ในทางกลับกับรัฐบาลจะทำให้ไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้ กรณี GDP หดตัวราว 10% ในระยะข้างหน้า


ข้อสังเกตหากเศรษฐกิจไทยโตปีละ 3%YOY ในช่วง 4 ปีถัดไป (พ.ศ. 2568 - 2571)โดยมีเงื่อนไข 1.มูลค่า GDP ปี 2567 ฉบับทบทวนเป็นฐานในการคำนวณ 2.คาดการณ์หนี้สาธาธณะคงค้างเป็นไปตามแผนการคลังระยะปานกลางฉบับล่าสุด จะส่งผลให้มูลค่า GDP ปี 2570 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.2 ล้านล้านบาท แต่หนี้สาธารณะคงค้างตามแผนฯ ปี 2570 สูงถึง 14.4 ล้านล้านบาท กดดันให้หนี้สาธารณะ/GDP เกินเพดานที่ 70%ได้ ถือเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลังในอนาคต


นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะ/GDP ปัจจุบันที่63.37%อยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาวิกฤตในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา (วิกฤต้มยำกุ้ง 50.2%, วิกฤต
SUBPRIME 42.4%) และยังใกล้แตะกรอบเพดาน 70% ซึ่งในระยะข้างหน้าหากเกิดวิกฤตหนักอีกรอบ ทำให้รัฐบาลอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพการคลังของไทย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกปรับลด CREDIT RATING


สรุป การก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มภาระผูกพันให้กับประเทศ ถือเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่ต้องจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังของบ้านเรา และลดความเสี่ยงต่อการถูกปรับลด CREDIT RATING

 


SET INDEX จะสดใสขึ้นตั้งแต่ 2Q67 หลังคาดหวัง LTF มาพยุงหนุนหุ้นใหญ่น่าลงทุนอีกครั้ง
SET INDEX ในช่วงที่ผ่านมาถูกบดบัง จากปัจจัยต่างๆทั้งนอกประเทศ และในประเทศอาทิ SHORT SALES หุ้นรายตัวที่มี IMPACT ต่อตลาดฯมากขึ้น(รายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป), ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการ REBALANCE ของMSCI ในช่วง 15 –30 พ.ค. 67โดยมีหุ้นที่ถูกคัดออก คือ LH -4.3%, MTC -3.2%,BTS -1.7% เป็นต้น ซึ่งวันนี้จะมีผลบังคับใช้(EFFECTIVE) ณ ราคาปิดของวัน คาดช่วงท้ายตลาด SET INDEX จะผันผวนกว่าปกติ

ขณะที่วานนี้ FETCO ได้ยื่นจดหมายนัดชงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ต่อคลังแล้วมั่นใจว่าจะได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง และ คณะรมต. ซึ่งหากTIMELINE เป็นไปตามนั้น คาดจะเริ่มขายได้ตั้งแต่ 2Q67 เป็นต้นไป โดยข้อมูลในอดีตบ่งชี้ว่า ภาวะปกติจะมีเม็ดเงิน LTF ใหม่ไหลเข้าหุ้นไทยราว 6 - 7 หมื่นล้านบาทต่อปีพร้อมกับช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น


ซึ่งโดยปกติแล้วเม็ดเงินที่ไหลเข้าจาก LTF มักจะลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่เนื่องจากมีขนาดเม็ดเงินขนาดใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ที่จะมีการประกาศหุ้นเข้า/ออก SET50-100 รอบ 2H67 ในเดือนมิ.ย.67 โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่าหุ้นที่ถูกคัดเข้า SET50 คือ BJC ITC TIDLOR BCP ส่วนหุ้นที่ถูกคัดเข้าSET100 คือ BJC JTS BA MBK CKP JAS QH SKY PRM TIPH ดังตารางด้านล่างซึ่งคาดว่าหุ้นดังกล่าวจะเป็นเป้าหมายของ FLOW ในช่วงนับจากน


สรุป ในช่วงที่ผ่านมา SET INDEX ถูกกดดันจากหลายปัจจัย ส่วนหลังจากนี้ กระแสLTF ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และคาดจะเริ่มขายได้ตั้งแต่ 2Q67 เป็นต้นไป ซึ่งประจวบเหมาะกับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ที่จะมีการประกาศหุ้นเข้า/ออก SET50-100 รอบ 2H67 ในเดือนมิ.ย.67 ซึ่งหุ้นที่ถูกคัดเข้า SET50-100 และฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ คือ BJC ITCTIDLOR MBK CKP เป็นต้น

VARUATION หุ้นไทยถูก แต่ถูก SHORT SELL คอยรบกวน
แม้กำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q67 ออกมา 2.76 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 50%QOQ,ทรงๆ ตัว YOY) และดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 19% แต่ความไม่แน่นอนทางการเมือง,MSCI REBALANCE, FUND FLOW ไหลออกในช่วงนี้ส่งผลให้เห็นการรบกวนตลาดเพิ่มเติม ด้วยการ SHORT SELL ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ
โดยวันที่ 20 – 29 พ.ค. 67 มีปริมาณการ SHORT SELL เพิ่มเข้ามา 4.0 หมื่นล้านบาท เฉลี่ย 5.7 พันล้านบาทต่อวัน ผสมกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยในช่วงดังกล่าวกลับลดลงเหลือเพียง 3.96 หมื่นล้านบาทต่อวัน กดดันให้สัดส่วนการSHORT SELL ต่อของมูลค่าซื้อขายรวมเฉลี่ย ในช่วงเวลาดังกล่าวขยับขึ้นมาอยู่ที่13.5% สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 64 6.6%, ปี 65 9.7%, ปี 6610.6%, ปี67YTD 11.9%)


อย่างไรก็ตาม ในเชิง VALUATION ตลาดหุ้นไทยมี P/E ที่ลดลงมาจนถูกมาก โดยเหลือ FORWARD P/E เพียง 14.4 เท่า (ลดลงจากปลายปี 2565 ที่ 16.6 เท่า) และต่ำกว่าตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI ที่ปัจจุบันซื้อขายบน FORWARD P/E ที่18.4 เท่า(ที่ทยอยสูงขึ้นปลายปี 2565 ที่ 15.3 เท่า)

 


ส่วนในระยะถัดไป ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าแรงกดดันดังกล่าว ในเดือน มิ.ย. 67 มีโอกาสทยอยลดลง ทั้ง MSCI REBALANCE เสร็จสิ้น, การเมืองยังไม่นำไปสู่สถานะการณ์นอกกรอบกฏหมาย, หวังกระแส LTF ใหม่ ถ้าเกิดขึ้นเร็วจะช่วยเข้ามาทดแทน FUNDFLOW ต่างชาติที่ไหลออกที่สำคัญ หากตลาดฯ ประกาศใช้กฏ UPTICK RULE (คาดช่วงปลายไตรมาสที่ 2)น่าจะหนุนให้เกิดการ COVER SHORT SELL ได้ดีเพราะในอดีตช่วงโควิดมีการใช้กฏนี้ส่งผลให้ปริมาณการ SHORT SELL ลดลงไปกว่า 79%เลยทีเดียว


ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรองหุ้นที่ถูก SHORT SELL เยอะในช่วงที่มีประเด็นการเมืองร้อนแรง 20 – 29 พ.ค. 67 และมีโอกาสถูก COVER SHORT กลับมาได้แรงหากเห็นความคืบหน้ากฏ UPTICK RULE มีรายชื่อหุ้น และเม็ดเงิน SHORT SELL


แนะนำหุ้นพื้นฐานดี มีโอกาสได้แรงหนุนจากการ COVER SHORT สูง อย่าง SCC,CPALL, AOT, TOP, CPN, BEM, IVL, GPSC

 


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เอาคืน By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม ไปเร็ว มาเร็ว รอบการเอาคืน สำหรับตลาดหุ้นไทย บนการเมืองไทย เข้มข้น หมดข่าว บริษัทจดทะเบียนประกาศ....

NER สานต่อโครงการ “NER ยิ้มสวย สุขภาพฟันดีกับทันตกรรมเคลื่อนที่” ปี 2 ร่วมดูแลสุขภาพช่องปากพนักงานกว่า 1,000 คน

ในยุคที่การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน ทั้งการออกกำลังกายหรือการทานอาหารที่ดี แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้