Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

479

 


"TH Manufacturing Recovery Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways" ต้าน 1359/1363 จุด รับ 1343/1340 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานต่อ แรงกดจากกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย Salesforce ที่ดิ่งแรง -19.7% หลังให้ Outlook ชะลอลง สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ สอดคล้องรายงาน GDP 1Q24 (ครั้งที่2) ที่ +1.3%q-q ต่ำคาด vs prev. +3.4%q-q ผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรก +2.2%w-w เป็นภาพ > Avg. 4 weeks ต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ ถ่วง US Bond Yield 10ปี อ่อนลง -7 bps สู่ 4.54% ส่วนวันนี้ติดตามรายงานเงินเฟ้อ PCE หากไม่เกิน +0.3%m-m เรามองสินทรัพย์เสี่ยงจะเป็นบวก โดยเฉพาะ Asia หาก PMI จีน ทีมีโอกาสขยายตัวได้ จากผลบวกมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง ส่วนภายในมีภาพบวกเศรษฐกิจ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เม.ย. 24 กลับขยายตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือน เชื่อว่าจะช่วย SET เริ่มรีบาวน์ แม้วันนี้อาจผันผวนท้ายตลาดจาก MSCI Rebalance ลดน้ำหนัก Net Outflow ราว -200ล้านเหรียญฯ แต่กลยุทธ์อยู่ฝั่งซื้อ SET อยู่ Value Zone ERP +3.45% ถึง +3.95% เน้นตั้งรับกล่ม Yield พีครอบนี้หนุน (โรงไฟฟ้า) การขยายตัวภาคผลิตเด่น อาหาร เครื่องดื่ม ปิโตรเคมี แพ็คเกจจิ้ง วันนี้แนะ SCGP, IVL, OSP

 

Daily outlook: "Sideways" ต้าน 1359/1363 จุด รับ 1343/1340 จุด

What happened around the world ?

• (*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงต่อ Dow jones -0.86%d-d, S&P500 -0.6%, Nasdaq -1.1% โดย Sectorใน S&P500 ฟื้นตัวเกือบทุก ทุก Sector กลุ่มที่ Outperform คือ Real estate, Utilities , Materials ฯลฯ กลุ่มที่ Underperform คือ IT, ICT หุ้นที่ลงแรง คือ ... -13% ฯลฯ หุ้นที่ปรับขึ้นเด่น หลักคือ HP Inc +16.95%, Best Buy +13.4% Tesla +1.5%, ฯลฯ หุ้นที่ลงแรง คือ Sale foreces -19.7%,NVDIA -3.77% ฯลฯ

•(*/+) US Econ : 1.)Initial Jobless Claims +2.19 แสนรายดีกว่าคาดที่ 2.18 แสนราย ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังไม่อยู่ระดับที่น่ากัวล สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 2.)รายงาน GDP สหรัฐ 1Q24 (รายงานรอบ 2)และเป็น Lagging indicator ออกมา +1.3%q-q ลดลงจากรอบแรกที่ 1.6%q-q หลักๆถูกปรับลงจากภาคการบริโภคครัวเรือน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดใน GDP สหรัฐ เหลือ 2 % จาก 2.5% 3.) Core PCE Price Index 1q24 +3.6%q-q ต่ำคาด 3.7% แต่เร่งขึ้นจาก 2.0% โดยรวม KSS กิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนตัว เพิ่มโอกาส Fed ลดดอกเบี้ย

• (*) US PCE : คืนนี้ติดตามรายงานเงินเฟ้อ PCE เม.ย. คาด +2.7%y-y, +0.3%m-m เท่าเดือนก่อน Top ranks คาดใหล้เคียงกัน และ PCE พื้นฐาน คาด 2.8%y-y เท่าเดือนก่อนเช่นกัน ประเมินเป็น 2 กรณีคือ 1.) ออกมาต่ำหรือใกล้เคียง ไม่เกิน +0.3%m-m KSS คาดสินทรัพย์เสี่ยงจะสร้างฐานได้ มองเป็นจิตวิทยากต่อหุ้นในสัปดาห์หน้า (ให้โอกาสเกิดกรณีมากที่สุด) 2..)ออกมาสูงกว่าคาด คาดสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับลงต่อ

• (*) Donald Trump: คุณ Donal Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก ล่าสุดถูกศาลตัดสินให้มีความผิดในคดีอาญากรณีการปกป้องรายการทางการเงิน โดยศาลจะมีการตัดสินโทษคดี 11 ก.ค. 24 ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐที่จะเกิดขึ้น 5 พ.ย. KSS แนะนำให้ติดตามมองความเสี่ยงที่คุณ Trump อาจจะไม่ได้ลงเลือกตั้งประธานาธิบดีจากคดีดังกล่าว โดยรวมเป็นบวกต่อภาพสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอาจผ่อนคลายลงกว่าสมัย Biden บวกต่อการค้าโลก และจิตวิทยาบวกต่อเศรษฐกิจจีน

• (*) To monitor : ฝั่งจีน 31 พ.ค. ติดตามรายงาน PMI ของทางการจีน ภาคผลิตคาด 50.4 จุด เท่าเดือนก่อน นอกภาคผลิตคาด 51.4 จุด เท่าเดือนก่อนเช่นกัน ฝั่งยุโรป 31 พ.ค. ติดตามรายงาน CPI พ.ค. คาด +2.6%y-y vs prev. +2.4%y-y และเงินเฟ้อ CPI พื้นฐาน คาด +2.8%y-y vs prev. +2.7%y-y

• (*) US Bond & Dollar : US Bond yields ชะลอการขึ้นระยะสั้น รับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาชะลอและน้ำมันดิบปรับลงแรง อิง อายุ 10 ปี ปรับลงแรง -7 bps มาอยู่ที่ 4.54% เช่นเดียวกับอายุ 2 ปีปรับลง -5 bps อยู่ที่ 4.927% โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อกับหุ้นในกลุ่มอิงเล็กฯ, การเงิน และกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่จะลบกับกลุ่มธนาคารและประกัน เน้น BBL ขณะที่ Dollar Index แข็งค่าแรง 105.0 +/- จุด

•(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลงแรงก่อนการประชุม OPEC+ อิง น้ำมันดิบ Brent -2.08%d-d ปิดที่ US$ 81.86/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.67%d-d ปิดที่ US$ 77.91/barrel แรงกดดันระยะสั้นมาจากฝั่ง Supply เพิ่มขึ้นรับ EIA แม้จะรายงานตัวเลขสต็อกน้ํามันดิบของสหรัฐฯ ลดลง -4.15 ล้านบาร์เรลมากกว่าคาด แต่ต๊อกน้ำมันเบนซินกลับเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดที่ 1 ล้านบาร์เรล เนื่องจากความต้องการน้ำมันน้ํามันเบนซินเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 8.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน -1.4%y-y สะท้อนผลบวกจาก Driving Season อาจจะไม่ได้มากอย่างที่ตลาดคาดหวังกันไว้ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP ในทางตรงข้ามบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจต้นทุนน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน AAV, BA กลุ่มเครื่องดื่ม ICHI

(*/+)World Container Index : ค่าระวางเรือโลก World Container Index World Container Index แนวโน้มเป็นขาขึ้น ปรับขึ้น 6 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด +4%w-w อยู่ที่ 4,226เหรียญต่อ 40 ft และปรับขึ้นต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ (อาทิ เส้น Shanghai - Rotterdum +1%w-w, Shanghai – los Angeles +2%) และ Air Freight ปรับเพิ่มขึ้น 3 สัปดาห์ อยู่ที่ 3.87 เหรียญ KSS ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) และบวกต่อหุ้นที่มีรายได้จาก Air Freight อาทิ ANI (90% ของรายได้)III (57% ของรายได้)

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปรับขึ้นสวนทางภูมิภาค +1.69 จุด +0.13% ปิดที่ 1351.52 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) มองเริ่มฟื้นตัวหลังตอบรับประเด็นเสถียรภาพการเมืองภายในไปแล้ว ขณะที่การฟื้นตัวยังมีสัญญาณบวกหลายส่วน อาทิ ผลบวกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวใหม่ของรัฐฯ แผนรัฐฯเตรียมนำเสนอแผนเก็บ VAT สินค้านำเข้า กลุ่มขนส่ง (AOT)มองตอบรับผลบวกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวใหม่ของรัฐฯ กลุ่มถ่วง คือ ร.พ. (BDMS, BH) กลุ่มธนาคาร (BBL, BAY, SCB) มองตลาดเริ่มลดสถานะ ก่อนรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ GDP 1Q24 (รอบที่ 2), ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก และ เงินเฟ้อ PCE ซึ่งหากไม่เร่ง อาจชะลอการปรับขึ้นของ US Bond Yield

• (*/-) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -37.3 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -56.1 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Short -26,151 สัญญา เงินบาทแข็งค่า 36.7 +/- บาท

• (+) MPI: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เม.ย. 24 กลับมาขยายตัว +3.4%y-y กลับมาขยายตัวy-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือน โดยอุตสาหกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ อาหาร (บวกต่อกลุ่มเกษตร อาหาร เน้น GFPT TU CPF) เครื่องดื่ม (บวกต่อกลุ่มเครื่องดื่ม OSP CBG SAPPE) กลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษ (เน้น SCGP) กลุ่มสินค้าปิโตรเลียม+เคมีภัณฑ์ (บวกต่อ PTTGC IVL) สินค้ายาง+พลาสติก (STA NER) ส่วนกลุ่มที่หดตัว คือ ยานยนต์ สะท้อนภาพผลกระทบการเปลี่ยนผ่านสู่ EV โลก ยังแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นในอุตสาหกรรมดังกล่าว

• (*/+) Amazon: Amazon จัดงาน AWS Summit in Bangkok ยังตอกย้ำแผนลงทุนในไทย เพื่อพัฒนาไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Cloud ของภูมิภาค (AWS Thailand Region) ตอกย้ำแผนลงทุน AWS ในไทยในส่วนโครงสร้างพื้นฐาน Data Center และระบบ Cloud อีกหลายปี โดยจากแผนทั้งหมด 1.9 แสนล้านบาทภายในปี 2037 ปัจจุบันลงทุนไปแล้วกว่า 1.16 หมื่นล้านบาท AWS ถือเป็นยักษ์ใหญ่เทคฯรายแรกๆ ที่ประกาศลงทุนในไทย ก่อนจะทยอยบริษัทอื่นๆ ตามมา ได้แก่ Google, Microsoft ต่อยอดจากบ.เทคโนโลยีญี่ปุ่นที่เป็นกลุ่มแรกๆเข้ามาลงทุน โดยระยะถัดไป เราคาดว่าผู้ให้บริการกลุ่มเทคโนโลยีจีนมีโอกาสตามเข้ามา โดยเฉพาะแรงกดดันจาก Tech War ทิศทางดังกล่าว หนุนการลงทุน Data Center เข้าสู่รอบใหญ่ ตามที่เรานำเสนอ โดยถือเป็นหนึ่งใน New S-Curve ใหม่ต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่ผลบวกต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ที่มีโอกาสเป็นบวก Upside ระยะถัดไป เรามองกลุ่มนิคม WHA กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF กลุ่มที่มีศักยภาพสร้าง Data Center INSET กลุ่มสื่อสาร TRUE

• (*/+) VAT: รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังจะเสนอร่างประกาศฯ เรื่องการแก้ไขกฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มองจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มค้าปลีกระยะถัดไป โดยหุ้นเด่นในกลุ่มแนะนำ CPALL DOHOME

• (*/+) Landbridge: กระทรวงคมนาคมเปิดเผยแผนผลักดันโครงการ Landbridge คาดเริ่มลงทุนเฟสที่ 1 มูลค่า 5.2 แสนล้านบาทในปี 2025 และเปิดบริการระยะแรกปี 2030 โดยจะเป็นการเปิดให้เอกชนลงทุน 100% ทั้งนี้ ขั้นตอนปัจจุบัน คือ สนข. ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ให้ดำเนินการศึกษาจัดเตรียมเอกสารและให้คำปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นรับเหมา เน้น STEC หุ้นโลจิสติกส์ เก็งกำไร RCL SINO LEO ที่มีรายได้เชื่อมโยงการขนส่งทางทะเลสูง

• (*/+) LTF: ระยะถัดไปแนะนำติดตามความคืบหน้าการพิจารณามาตรการ LTF หลังจาก FETCO มีการหารือตั้งแต่กลาง พ.ค. ซึ่งคาดมีข้อสรุปกับกระทรวงการคลังช่วง 1-2 สัปดาห์นี้

• (*/-) MSCI Rebalance: การ Rebalance MSCI รอบนี้จะมีผลราคาปิดวันนี้ (31 พ.ค.) คาดเป็น Outflows โดยฝั่ง MSCI Global Standard หุ้นเข้า - ไม่มี หุ้นออก – LH( - 200 ล้านเหรียญฯ), BTS(- 175 ล้านเหรียญฯ), MTC(- 100 ล้านเหรียญฯ) MSCI Global Small Cap

หุ้นเข้า : BTS, JTS, LH, MTC หุ้นออก : BLAND, DITTO, FORTH, KSL, MAJOR, PSL, RS, SGP, SPCG, WHAUP

Daily Strategy : SCGP, IVL, OSP เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways" สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าที่ตลาดคาดไว้ ช่วยให้ US Bond Yield สหรัฐฯ 10ปีอ่อนลง ก่อนติดตามเงินเฟ้อ PCE คืนนี้ ส่วน Asia ติดตาม PMI จีนคาดการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง จะหนุนยังอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภายในสัญญาณภาคผลิตเป็นบวก หลังขยายตัว y-y ครั้งแรกใน 19 เดือน โดยรวมมองหุ้นนำวันนี้ 1) กลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค อาทิ โรงไฟฟ้า 2) กลุ่มอิงจีน+ได้ภาพภาคผลิตฟื้น อาทิ แพ็คเกจจิ้ง ปิโตรเคมี 3) กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP, IVL, GLOBAL, DOHOME)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, OSP, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, BJC, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)

• MAY24 Best Picks: ICHI, BJC, HANA, IVL, MINT, CPALL, OSP

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC


Tactical & Investment Idea

Research Highlight


• Strategy Update : Tourism "New Major Stimulus New Journey"

• Upside ของอุตสาหกรรมอิงภาคบริการรอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้น หลังวานนี้รัฐฯอนุมัติมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวชุดใหญ่ โดยมีมาตรการเด่น คือ การเปิดฟรีวีซ่าเพิ่มเป็น 93 ประเทศ จากเดิม 57 ประเทศ พำนักสูงสุด 60 วัน มีผลตั้งแต่ 1 มิ.ย. 24 ประเมินฐานนักท่องเที่ยวเป็น Upside เฉลี่ยปีละ 2.0-2.5 ล้านคน (อิงฐานนักท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์มาตรการกล่าวราว 28% ของนักท่องเที่ยวรวม *คาดการณ์นักท่องเที่ยวปี 2024F ที่ 36 ล้านคน จะได้ฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มพร้อมเร่งขึ้น 10 ล้านคน ผสาน ข้อมูลนักท่องเที่ยวจีนที่เร่งขึ้นเฉลี่ย 16% หลังมีมาตรการ ฟรี วีซ่า ถาวร ซึ่งมีผลช่วงฤดูกาลมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เราเชื่อว่าผลบวกที่เกิดจริงโดยไม่มีปัจจัยฤดูกาลจะสูงขึ้นกว่าระดับดังกล่าว) โดยคาดจะส่งผลบวกในปี 2024F ก่อน 1.0 +/- ล้านคน โดยคาดชาวตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ช่วงร้อน-ร้อนจัดน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มสร้าง Upside ขณะที่ระยะกลาง-ยาว หากมองเป้าหมายรายได้ท่องเที่ยวรัฐฯ ที่วางเป้าหมายเพิ่มเข้ามา 8 แสน – 1 ล้านล้านบาท (สูงมาก vs ปัจจุบัน YTD ถึง 26 พ.ค. ซึ่งอยู่ราว 6.82 แสนล้านบาท) โดยให้ราวครึ่งนึงมาจากผลบวกนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น (อีกครึ่งนึง คาดมาจากกลุ่มเดิมที่คาดหวังการเข้ามาท่องเที่ยวไทยนานขึ้น) เราประเมินจะบ่งชี้ Upside นักท่องเที่ยวที่รัฐฯคาดสูง 8-10 ล้านคน

• แนวโน้มดังกล่าว เราคาดจะช่วยตลาดค่อยๆประเมินภาพ Upside ต่อกลุ่มอุตสาหกรรมภาคบริการ อาทิ ท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก ร.พ. สื่อสาร เชิงกลยุทธ์ เน้นลงทุนหุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์สูง ได้แก่ AOT (TP-70.5) MINT(TP-42) ERW(TP-6.2) BH(TP-275) BCH(TP-22.8) CPALL (TP-80) BJC(TP-33) TRUE(TP-10.3)

 

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯ(มีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024) โดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

 

• Strategy Update : Container & Freight Forwarder : "A New Upward Cycle"

• ดัชนีค่าระวางเรือ Containerปี 2024 กลับมาปรับตัวขึ้นโดดเด่นมาเคลื่อนไหวในระดับ 3500 +/- จุด (vs ต้นปีบริเวณ 4,000 จุดช่วงทะเลแดงตึงเครียด vs 10,000 +/- จุดช่วง COVID) แรงขับเคลื่อนสำคัญรอบนี้จากการฟื้นตัวฝั่งความต้องการ (Demand) ที่หนุนจากสัญญาณการภาคผลิตโลก บ่งชี้จาก Global Manufacturing PMI กลับมาอยู่ในระดับขยายตัว (>50 จุด) 3 เดือนต่อเนื่อง หนุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ยุโรปที่เร่งขึ้น (52% ของการค้าโลก) ขณะที่เราเชื่อระยะสั้นยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเร่งสั่งซื้อสินค้าระยะสั้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ – ยุโรป - จีน ทยอยกลับมาออกมามาตรการกีดกันการค้าแบบอ่อนๆ ระหว่างกันช่วงนี้ ตามที่เรานำเสนอว่าน่าจะเป็นเชิงสัญลักษณ์ก่อนการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ พ.ย. 24 น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อน Demand ต่อ

• มุมมองดังกล่าวหนุนราคาหุ้นในกลุ่มดำเนินธุรกิจเดินเรือขนส่ง Container โดยตรง โดยเฉพาะ RCL ปรับตัวขึ้นร้อนแรง 63.7% ภายใน 1 เดือน อย่างไรก็ตาม เชิงกลยุทธ์ เรามองหุ้นอีกกลุ่มที่ยังมีโอกาสเก็งกำไรลักษณะ Tactical Play คือ หุ้นในกลุ่ม Freight Forwarder ในส่วนที่มีสัดส่วนรายได้จากฝั่งเรือในสัดส่วนสูง อาทิ WICE (34% ของรายได้) SONIC (62% ของรายได้) SINO (90% ของรายได้) ที่ MTD เพิ่งปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 14.7% ขณะที่ระดับ Correlation (ราคาหุ้น กับ WCI) ที่บ่งชี้ระดับการเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกันแทบไม่แตกต่างกัน โดย RCL, WICE, SONIC อยู่ที่ 0.71, 0.6 และ 0.69 ตามลำดับ (SINO ข้อมูลทางสถิติไม่พอ) มองหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นน้อย แต่ได้ประโยชน์ไม่ต่างจาก RCL อาทิ SINO, SONIC น่าเข้าเก็งกำไรในเชิง Tactical Plays

 

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

 

• Strategy Update : MSCI Rebalance

หุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี ปรับน้ำหนักดัชนีวันที่ 31 พ.ค.

• MSCI Global Standard

หุ้นเข้า - ไม่มี

หุ้นออก – LH( - 200 ล้านเหรียญฯ), BTS(- 175 ล้านเหรียญฯ), MTC(- 100 ล้านเหรียญฯ)

• MSCI Global Small Cap

หุ้นเข้า : BTS, JTS, LH, MTC

หุ้นออก : BLAND, DITTO, FORTH, KSL, MAJOR, PSL, RS, SGP, SPCG, WHAUP

 

• Strategy Update : SET50/100 2H24 Second update

ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้า SET50/SET100 เริ่มใช้จริงรอบ 2H24 หนุนให้ BJC เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์ และกลับเข้ามาในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

วันนี้ตลาดหลักทรัพย์อัพเดทสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับเกณฑ์สภาพคล่องในการคัดเลือกหุ้นเข้า SET50/100 และจะเริ่มใช้จริงรอบ 2H24 เราคาดเป็นตัวหนุนหุ้น BJC กลับเข้ามาอยู่ในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

โดยสำหรับคาดการณ์หุ้น SET50/SET100 ล่าสุดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC (โอกาสเข้า 100% กรณีปรับเกณ์), BCP (โอกาสเข้า 90%), TIDLOR (โอกาสเข้า 90%) และ ITC (โอกาสเข้า 70%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU, (โอกาสหลุด 70%), SAWAD (โอกาสหลุด 70%), KCE (โอกาสหลุด 90%) และ COM7 (โอกาสหลุด 90%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 7 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, QH, SKY, JAS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 7 บริษัท คือ AURA, FORTH, MOSHI, ORI, RCL, SNNP, TKN

กลยุทธ์ :แนะนำ เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 โดย เราชอบ BJC, BCP และ ITC ส่วน SET100 เราแนะนำเก็งกำไร BA, CKP

 

• Healthcare (Bullish): เรามองเป็นโอกาสสะสมหุ้น รพ. จากวานนี้ราคาหุ้น รพ.ที่ศึกษา 5 บริษัท ปรับลง 1-2% สวนทาง SET เนื่องจาก 1) ปี 24F คาดว่ากำไรสุทธิรวมของกลุ่มฯ (+10%y-y) เข้าสู่วัฎจักรการเติบโตหลังผ่านช่วงปรับฐาน COVID 2) แนวโน้ม 3Q24F เป็นไตรมาสดีสุดของปีจากผลบวกฤดูกาล และมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น 3) มีปัจจัยเฉพาะตัวราย รพ. ทั้งนี้ระยะสั้น 2Q24F จะเป็น low season ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลปกติของธุรกิจ และราคาหุ้นมีโอกาสพักตัว คงน้ำหนักลงทุน Bullish ต่อกลุ่มการแพทย์ เลือก BDMS (Buy TP 37 บาท) และ CHG (Buy TP 3.7 บาท) เป็นหุ้นเด่น

• Soft Commodity (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพาราเพิ่มขึ้น +3.97%w-w เพราะคาดความต้องการของจีนค่อยๆฟื้นตัวและตลาดส่งออกยางตื่นตัวกับความต้องการยาง EUDR ไปยุโรป ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น +0.26%w-w เพราะอากาศร้อนในอินเดียอาจกระทบการปลูกอ้อยในฤดูกาลปี 2024/25 ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น +1.91%w-w เพราะคาดความต้องการของจีนและอินเดียเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามราคาถั่วเหลืองลดลง -1.94%w-w เพราะสหรัฐรายงานภาวะการปลูกถั่วเหลืองมีความก้าวหน้ากว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ทรงตัวที่ 43.50 บาท (ต้นทุน 37-38 บาท) ราคาสุกร -2.1%มาที่ 69.5 บาท (ต้นทุน 68-72 บาท) เพราะการบริโภคอ่อนตัวในหน้าฝน ราคาสุกรเวียดนาม +1.74% มาที่ 68,167 ดองหรือ 95.4 บาท เพราะการระบาดโรค ASF ทำให้เกษตรกรชะลอการเลี้ยงสุกร ราคาสุกรจีน +7.29% มาที่ 17.32 หยวนหรือ 86.6 บาท สูงกว่าต้นทุนการเลี้ยงที่ 16.5 หยวน เพราะมีการระบาดโรค ASF ในบางพื้นที่

เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เราให้ Top pick GFPT (TP 15.10) แนวโน้มการส่งออกไก่โตและราคาไก่เพิ่ม คาดยังดีต่อเนื่องในผลการดำเนินงาน 2Q24F นอกจากนี้ราคาสุกรจีนที่พ้นจุดคุ้มทุนและเร็วกว่าคาดเป็นผลบวกต่อแนวโน้มงบ CPF ใน 2Q24F

 

2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

งบหมดแล้ว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา SET หมุนทะลุเส้น 1200 จุด อีกครั้ง ด้วยแบงก์ ,อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน....

เอาคืน By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม ไปเร็ว มาเร็ว รอบการเอาคืน สำหรับตลาดหุ้นไทย บนการเมืองไทย เข้มข้น หมดข่าว บริษัทจดทะเบียนประกาศ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้