การเมือง กลายเป็นปัจจัยชี้นำตลาด
ปัจจัยการเมืองกลับมาสร้างแรงกดดันให้กับตลาด เริ่มจากกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ระหว่างการวินิจฉัยเรื่องที่ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งรัฐมนตรีที่อาจขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาในช่วงเวลาไม่เกิน 2 เดือนนี้ ถัดมาเป็นการพิจารณาคำร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งก็น่าจะใกล้รู้ผลเช่นกัน ล่าสุดเป็นกรณีที่ อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง อดีตนายกฯทักษิณ ตามข้อกล่าวหาที่ทำผิดตาม ป.อาญามาตรา 112 โดยมีกำหนดยื่นฟ้องคดีต่อศาล 18 มิ.ย.67 ทั้ง 3 กรณีในมุมของนักลงทุน ถือเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่เชื่อมั่น ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบางกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้หากการเมืองเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน ก็อาจทำให้เศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวเกิดอาการสะดุดอีกรอบSET INDEX ปิดต่ำกว่า 1357 จุด เป็นสัญญาณลบทาง TECHNICALขณะที่สถานการณ์การเมืองเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยง วันนี้คาดกรอบ 1340 –1358 จุด หุ้น TOP PICK เลือก CPALL, PTTEP และTU
ปัจจัยภายนอกไม่สดใส กดดัน SET ทดสอบแนวรับ 1340 จุด
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงช่วง 0.6%-1.5% ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่กระทรวงการคลังสหรัฐทำการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปี วงเงิน 7 หมื่นล้านดอลลาร์วานนี้ แต่ได้รับการตอบรับที่ซบเซาในตลาด โดย BID-TO-COVERRATIO ลดลงสู่ระดับ 2.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 2.45 เท่า จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ที่ 4.6% และส่งผลให้ DOLLAR INDEX แข็งค่ากว่า 0.5% สู่ระดับ 105.12 จุด และกดดันค่าเงินบาทไทยให้อ่อนค่าตามกลไก
ขณะที่ในมุมทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯยังเห็นสัญญาณว่าอยู่ในทิศทางขาลงอยู่ แต่ตลาดคาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ โดยอาจจะเกิดขึ้นในช่วง พ.ย.67 หรือธ.ค.67 ซึ่งจากก่อนหน้านี้ตลาดเคยคาดว่า FED อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และหากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงโอกาสการคงดอกเบี้ยในการประชุม FED รอบ พ.ย.67(5.25%-5.50%) จะเห็นได้ว่า มีโอกาสสูงขึ้นที่จะคงดอกเบี้ย โดยความน่าจะเป็นล่าสุดอยู่ที่ 41.3% ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์มีความน่าจะเป็นล่าสุดอยู่ที่ 29.1% เท่านั้น
ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวที่ปัจจัยภายนอกผันผวน คาดกดดันให้ SET INDEX วันนี้ผันผวนตาม โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1340-1358 จุด และกลยุทธ์การลงทุนแนะนำกลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ HANA, DELTA, KCE, TU, ITC, AAI, CPF, GPFT, STA,NER, STGT เป็นต้น
ประเมินความไม่แน่นอนทางการเมือง กับตลาดหุ้นไทย
วานนี้อัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้องอดีตนายกฯ "ทักษิณ ชินวัตร" คดีมาตรา 112 แต่พนักงานไม่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้เนื่องจากนายทักษิณไม่ได้มาพบตามกำหนดนัด โดยได้มอบหมายให้ทนาย มายื่นเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดี ส่วนอัยการสูงสุดสั่งฟ้องทุกข้อกล่าวหา และนัดยื่นฟ้องต่อศาล ในวันที่ 18 มิ.ย.2567ในช่วงต่อจากนี้ ประเด็นการเมือง ทั้งประเด็น 40 สว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายกฯเศรษฐา แต่งตั้ง คุณพิชิต เป็น รัฐมนตรี รวมถึงประเด็นอัยการสูงสุดส่งคำสั่งฟ้องคดีที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กระทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 อาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมือง และเกิดความกังวลต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไปอีกระยะ จนกว่าจะเห็นความชัดเจนฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาข้อมูล POLITICAL UNCERTAINTY จากการนับจำนวนบทความข่าวที่นำเสนอในอินเตอร์เน็ต แต่ละสัปดาห์ย้อนหลัง 1 ปี พบว่า จำนวนบทความข่าวเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังน้อยกว่าช่วงหลังเลือกตั้งในปีที่แล้วอยู่พอสมควร
ในเชิงเปรียบเทียบกับตลาดหุ้น พบว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองเคยพีคๆ ในช่วงหลังเลือกตั้งปี 2566 ช่วงนั้น SET INDEX ย่อตัวจากบริเวณใกล้ๆ 1580 จุด ลงมาเหลือ 1460 จุด แต่ปัจจุบัน SET INDEX อยู่บริเวณ 1349 จุด ต่ำกว่าช่วงนั้นมาก แม้ในระยะสั้นอาจสร้างจิตวิทยาเชิงลบต่อนักลงทุน กดดันสภาพคล่องตลาดลดลง ทำให้ผลักดันให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้ยากในช่วงนี้แต่ในมุม VALUATION ที่ SET INDEX บริเวณต่ำกว่า 1350 จุดยังถือว่าถูก โดยมี
P/E เพียง 14 เท่ากว่าๆ เท่านั้น ต่ำกว่า P/E ตลาดหุ้นโลกที่ 18 เท่า หากประเด็นต่างๆผ่อนคลาย อาจจะเป็นจังหวะในการหาหุ้นเข้าสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาวได้ซึ่งความไม่แน่นอนจากประเด็นดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในมุม VALUATION ที่ SET INDEX บริเวณต่ำกว่า 1350 จุด ยังถือว่าถูก โดยมี P/E เพียง 14 เท่ากว่าๆ เท่านั้น ต่ำกว่า P/E ตลาดหุ้นโลกที่ 18 เท่า หากประเด็นต่างๆผ่อนคลาย อาจจะเป็นจังหวะในการหาหุ้นเข้าสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาวได้
ความกังวลเรื่อง เพดานหนี้สาธารณะ
ธปท. แสดงความกังวลหลัง ครม. หลัง ครม. มีมติปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568 –2571) สำหรับใช้ในโครงการ DIGITAL WALLET วงเงิน1.22 แสนล้านบาท ผ่านการเพิ่มกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 โดยในระยะข้างหน้าอาจกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง และการจัดการกับความเสี่ยงทางการคลัง
เฉพาะอย่างยิ่งการก่อหนี้สาธารณะ/GDP เสี่ยงปรับตัวสูง 68.9% ในปี 2570 (ใกล้เพดาน 70%) รวมถึงภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในการรับมือกรณีเกิดวิกฤต
หากเปรียบเทียบสัดส่วนหนี้สาธารณะ/GDP และการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยกับประเทศอื่นๆ ปี 2566 พบว่าบ้านเราอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ (หนี้, GDP) สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านที่แม้ภาระหนี้จะไม่สูง (หนี้) แต่เศรษฐกิจยังขยายตัวเด่น (GDP)โดยมีระดับ BREDIT RATING ใกล้เคียงกัน
สรุป การก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มภาระผูกพันให้กับประเทศ ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำ อาจทำให้การกระตุ้นผ่านนโยบายการคลังได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งการดำเนินนโยบานการเงินในปัจจุบัน กนง. ตรึงดอกเบี้ยไว่ในระดับสูง 2.5% ทำให้ภาครัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นด้วย
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์