Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

557

 

"Tourism Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Down" ต้าน 1360/1364 จุด รับ 1343/1340 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานต่อเนื่อง แรงกดดันจาก US Bond Yield 10ปี +7bps ปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ 4.62% ผลจากการประมูลพันธบัตรสหรัฐฯที่ Yield ดีดขึ้น เนื่องจากความต้องการชะลอลง โดยช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ตลาดจะจับตา ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (วันนี้) และเงินเฟ้อ PCE เม.ย. 24 (พรุ่งนี้) โดยการทยอยปรับมุมมองระมัดระวังก่อนรายงาน ดังนั้นกรณีการรายงานไม่สูงกว่าคาดเกินไป เช่น ยอดผู้รับสวัสดิการอยู่ในกรอบ >2 แสนตำแหน่ง และ PCE ไม่เกิน +0.3%m-m คาดสินทรัพย์เสี่ยงจะสร้างฐานได้ ส่วนภายใน ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังกดดันหุ้นกลุ่ม Domestic ทำให้ SET ระยะสั้นยังผันผวน แต่กรอบดัชนี 1320-1350จุด น่าจะเป็น Zone ฐาน จาก EPS ตลาดปี 2024-26 เริ่มสร้างฐานและขยับขึ้นเล็กๆ และกรอบดัชนีดังกล่าวเป็นระดับ Current ERP 2024 – 2024F ที่ 3.45-3.95%(> Avg 3.06%) เน้นตั้งรับ กลุ่มอิงจีน (IMF ปรับ GDP ปี2024 ขึ้นสู่ 5% จากเดิม 4.6%) กลุ่มเงินบาทอ่อนค่าหนุน กลุ่มธนาคาร ประกัน (รับภาพ Yield เร่ง) วันนี้แนะ CBG, GFPT, NER

 

Daily outlook: "Sideways" ต้าน 1360/1364 จุด รับ 1343/1340 จุด

What happened around the world ?

• (*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกลงอีกครั้ง Dow jones -1.06%d-d, S&P500 -0.74%, Nasdaq -0.58% โดย Sectorใน S&P500 ปรับลงทุก Sector กลุ่มที่ Underperform หรือลงแรงมากกว่าตลาดคือ Energy, Industrials, Materials ฯลฯ กลุ่มที่ Outperform หรือลงน้อยกว่าตลาดคือ IT, Consumer discretionary ฯลฯ หุ้นที่ปรับขึ้นเด่น หลักคือ Marathon Oil +8% หลัง ConocoPhillips ตกลงเข้าซื้อกิจการด้วยข้อเสนอแลกหุ้นมูลค่าราว $1.7 หมื่นล้าน, Chewy+ 27% หลังรายงานยอดขาย Q1 ดีกว่าคาดที่ $2,880 ล้าน ฯลฯ หุ้นที่ลงแรง คือ American Airlines -13% บริษัทปรับลดคาดการณ์กำไร 2Q24 ลง -8% ฯลฯ

•(*/+)Chicken Sector : กระทรวงเกษตร ประมง(DAFF)ออสเตรเลียได้ยืนยันญี่ปุ่น (นำเข้าสัตว์ปีกราว 4%ของตลาดโลกหรือราว 1.43 Billions $ ในปี 2022) เริ่มการระงับนำเข้าสัตว์ปีกชั่วคราวกับออสเตรเลีย KSS ประเมินมีโอกาสที่ยุโรป(นำเข้าสัตว์ปีกราว 32%ของตลาดโลก) อาจจะแบนการนำเข้าสัตว์ปีกลำดับถัดมา มองเป็นโอกาสและบวกต่อไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสัตว์ปีกอันดับ 6 ของโลก หรือราว 3.35%ของตลาดโลก ระเมินเป็นบวกต่อหุ้นส่งออกไก่ไทย อาทิ GFPT, TFG, CPF, BTG แต่บวกหลักๆคือ GFPT(TP@15.1 ) Top pick กลุ่มเกษตร

•(*/+) China : IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีน ปี 2024 ขึ้นอยู่ที่ 5%y-y(เดิม 4.6%) หลัง GDP 1Q24 แกร่งและรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น และปี 2025 ปรับขึ้นที่ 4.5%y-y (เดิม 4.1%) มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นจีน KSS ยังคงน้ำหนัก "Slightly Overweight" แนะนำลงทุนผ่าน KSS i-fund แนะนำกองทุน KFACHINA-A (Active A-Shares) และ KF-CHINA (H-Shares ETF) และมองบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจอิงจีน อาทิ SCGP, IVL, KCE, STA

• (*) Fed Beige Book : เผยเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโต แต่ธุรกิจมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้น โดยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ อัตราดอกเบี้ยสูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง

• (*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 30 พ.ค. GDP งวด 1Q24 รายงานครั้งที่สอง คาด 1.2%q-q vs prev. 1.6%q-q 31 พ.ค. ติดตามเงินเฟ้อ PCE เม.ย. คาด +2.7%y-y, +0.3%m-m เท่าเดือนก่อนและ PCE พื้นฐาน คาด 2.8%y-y เท่าเดือนก่อนเช่นกัน ฝั่งจีน 31 พ.ค. ติดตามรายงาน PMI ของทางการจีน ภาคผลิตคาด 50.4 จุด เท่าเดือนก่อน นอกภาคผลิตคาด 51.4 จุด เท่าเดือนก่อนเช่นกัน ฝั่งยุโรป 31 พ.ค. ติดตามรายงาน CPI พ.ค. คาด +2.6%y-y vs prev. +2.4%y-y และเงินเฟ้อ CPI พื้นฐาน คาด +2.8%y-y vs prev. +2.7%y-y

• (*) US Bond & Dollar : Bond yields แนวโน้มเป็นขาขึ้นระยะสั้น อายุ 10 ปี ปรับขึ้นแรงต่อ +7 bps มาอยู่ที่ 4.62% ทำจุดสูงสุดในรอบ 1 เดือน เช่นเดียวกับอายุ 2 ปีแกว่งตัวอยู่บริเวณสูงสุดในรอบ 1 เดือน อยู่ที่ 4.98% แรงหนุนหลักนอกจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแกร่งช่วงก่อน คือ การประมูลพันธบัตรรัฐบาลเมื่อวานวันพุธซบเซา ล่าสุดความสนใจในการซื้อพันธบัตรอายุ 7 ปี มูลค่า 4.4 หมื่นล้าน$ ลดลง (ราคา Bond ลง US Bond Yield ขึ้น) โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบกับหุ้นในกลุ่มอิงเล็กฯ, การเงิน และกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่บวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน เน้น BBL ขณะที่ Dollar Index แข็งค่าแรง 105.0 +/- จุด

•(*/-) Oil : ราคาน้ำมันดิบชะลอการขึ้นหลังจากปรับขึ้นติดต่อช่วง 3 วันก่อนน้ำมันดิบ น้ำมันดิบ Brent -0.74%d-d ปิดที่ US$ 83.6/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.75%d-d ปิดที่ US$ 79.23/barrel แรงกดดันระยะสั้นมาจาก Dollar Index แข็งค่าแรงขึ้นมา แต่ระยะถัดไปมองมีปัจจัยหนุนจากตลาดเก็งก่อนประชุม OPEC+ 2 มิ.ย. คาดมติจะยังขยายการตัและดลดกำลังการผลิตไปจนถึงช่วง 3Q24 และการเข้าสู่ Driving Season

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปิดลบ -12.87 จุด -0.94% หลุดแนวรับ 1350 จุด มาปิดที่ 1349.86 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เพราะกังวลเสถียรภาพการเมืองที่อาจมีผลต่อการออกมาตรการกระตุ้นในระยะถัดไป กลุ่มพลังงาน (GULF, EA, GPSC) จากจิตวิทยาลบเงินบาทอ่อนค่าเร่งอีกครั้ง หลัง US Bond Yield อายุ 10ปี กลับมาปรับตัวขึ้นแรงคืนวานนี้ จากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังแข็งแกร่ง กลุ่มหนุน คือ กลุ่มเกษตร (STA, NER) มีจิตวิทยาบวกหนุนจากราคายาง TOCOM +1.22%d-d +11.1%mtd ปิดที่ 333JPY/kg ผสานกับไทยเป็นประเทศหลักที่ได้ประโยชน์จากการเริ่มใช้ยาง EUDR และเศรษฐกิจจีนผ่านจุดต่ำสุด กลุ่มยานยนต์ (3K-BAT) ราคาหุ้นปรับขึ้นเข้าหาราคาหุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะขอทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ หุ้นละ 54 บาท

• (-) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -96.9 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +29.2 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Short -29,745 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 36.8 +/- บาท

• (*/+) Telcos: กสทช. ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม (โฟกัส กรุ๊ป) เรื่อง (ร่าง) แผนการจัดสรรคลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลของประเทศไทยระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2024 – 2028) เตรียมจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ในปี 2025 ประกอบด้วย 850 MHz 1800 MHz 2100 MHz 2300 MHz (คลื่นความถี่เดิม) ส่วนคลื่นที่ว่างอยู่ คือ 1500 MHz และ 26 GHz เรามองต่อกลุ่มผู้ให้บริการมือถือที่มีโอกาสประมูลคลื่นในมือกลับมาด้วยต้นทุนที่ลดลง หรือปรับลดคลื่นที่ใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ เน้นลงทุน TRUE ที่มีโอกาสลดต้นทุนคลื่นได้มากสุด (คลื่นเดิมที่มีอยู่ จะนำมากลับมาประมูลใหม่มากสุด)

• (*/+) TH Tourism: หลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวโดยจะให้ฟรีวีซ่าเพิ่มเติม 36 ประเทศ โดยให้สามารถพำนักนานสูงสุด 60 วัน ล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลประเทศที่ได้รับสิทธิ์มาตรการฟรี วีซ่าเพิ่มเติมดังกล่าว แบ่งเป็น 1) กลุ่มเดิมได้สิทธิ์ VISA on Arrival ได้แก่ อินเดีย คาซัสถาน มอลต้า เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี โรมาเนีย อุซเบกิสถาน ไต้หวัน ภูฏาน บัลแกเรีย ไซปรัส ฟีจี จอร์เจีย 2) กลุ่มฟรี วีซ่าอยู่แล้ว แต่จะสามารถพำนักในประเทศไทยนานขึ้นเป็นสูงสุดไม่เกิน 60 วัน ได้แก่ จีน ลาว มาเก๊า มองโกเลีย รัสเซีย กัมพูชา และ 3) กลุ่มที่เดิมต้องขอวีซ่าก่อนเดินทาง ได้แก่ กัวเตมาลา จาเมกา ฮัชไมต์จอร์แดน คอซอวอ โมร็อกโก ปานามา ศรีลังกา ตรินิแดดและโตเบโก ตองกา โอเรียนทัลอุรุกวัย แอลเบเนีย โคลอมเบีย โครเอเชีย คิวบา ดอมินีกา โดมินิกัน เอกวาดอร์ กลุ่มประเทศดังกล่าวอิงนักท่องเที่ยว 4M24 พบว่ามีสัดส่วนราว 40.6% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด (กลุ่มที่ 1 - 9.59% กลุ่มที่ 2 – 30.8% กลุ่มที่ 3 – 0.22%) อิงสัดส่วนดังกล่าว บนฐานนักท่องเที่ยว 2024F ราว 36 ล้านคน จะมีฐานนักท่องเที่ยวต่อยอดจากมาตรการได้ราวปีละ 14.6 ล้านคน โดยรวมเราเชื่อว่า Upside นักท่องเที่ยวระยะสั้นที่เราประเมินเบื้องต้นวานนี้ 2 +/- ล้านคนต่อปียังพอเป็นไปได้

• (*) TH Politic: วานนี้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องคุณทักษิณ ชินวัตรในคดีมาตรา 112 ทำให้กำหนดการสำคัญของปัจจัยการเมืองจากนี้จะทยอยเกิดขึ้น มิ.ย. ได้แก่ 1) คดีพรรคก้าวไกล จะชี้แจงกรณียุบพรรค ประเด็นพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 2 มิ.ย. นี้2) กรณีคดีคุณสมบัติเศรษฐาที่ศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้อง นายกฯ จะมีการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะครบกำหนดช่วงเวลาชี้แจงวันที่ 6-7 มิ.ย. และ 3) 18 มิ.ย. เป็นกำหนดการอัยการนัดนำคุณทักษิณส่งฟ้องคดีอาญา

• (*/-) MSCI Rebalance: การ Rebalance MSCI รอบนี้จะมีผลพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) คาดเป็น Outflows โดยฝั่ง MSCI Global Standard หุ้นเข้า - ไม่มี หุ้นออก – LH( - 200 ล้านเหรียญฯ), BTS(- 175 ล้านเหรียญฯ), MTC(- 100 ล้านเหรียญฯ) MSCI Global Small Cap

หุ้นเข้า : BTS, JTS, LH, MTC หุ้นออก : BLAND, DITTO, FORTH, KSL, MAJOR, PSL, RS, SGP, SPCG, WHAUP

• (*/+) SET Valuation: แม้ระยะสั้น SET จะค่อนข้างความผันผวน แต่เราเชื่อว่ากรอบโซนฐานในรอบนี้จะอยู่ช่วง 1350-1320 จุด บ่งชี้จากระดับ Earnings Yield Gap (EYG) ที่ดัชนีปิดวานนี้ 1349 จุด หากอิง Forward EPS24F ที่ 92 บาท จะให้มี EYG สูง 3.95% ส่วน Current EYG (ใช้ฐานกำไรตลาดปี 2023 + EPS ปี 2024 ระยะเวลา 5 เดือน) จะให้ Current EYG สูง 3.45% ซึ่งล้วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวบริเวณ 3.05% ทั้งหมด

 

Daily Strategy : CBG, NER, GFPT เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Down" บรรยากาศสินทรัพย์เสี่ยงค่อนไปทางลบ ต่างประเทศ US Bond Yield สหรัฐฯยังเร่งต่อเป็นจิตวิทยาลบ ส่วนภายในเสถียรภาพการเมืองยังเป็นประเด็นสร้าง Overhang ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเร่ง แต่หนุนยังพอมีหุ้นกลุ่มช่วยประคองตลาดได้ คือ 1) กลุ่มได้ประโยชน์เงินบาทอ่อนค่า อาทิ GFPT (มีแรงหนุนเพิ่มญี่ปุ่นประกาศแบนส่งออกไก่จากออสเตรเลีย) KCE, HANA 2) กลุ่มที่จิตวิทยา Yield เร่งขึ้นหนุน ธนาคาร, ประกัน 3) กลุ่มอิงจีน SCGP, DOHOME 4) กลุ่มสื่อสารที่มีประเด็นเฉพาะตัว กสทช.เริ่มกระบวนการประมูลคลื่นปี 2025-28 คลื่นที่ประมูลส่วนใหญ่ระยะสั้นปี 2025 เป็นการประมูลคลื่นเดิม ลุ้นสร้าง Upside ต้นทุน เน้น TRUE

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP, GLOBAL, DOHOME)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, BJC, OSP, ICHI, AOT, MINT, ERW, MINT)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC)
กลุ่มที่คาดกำไรมีโมเมนตัมบวกต่อจาก 1Q24 (AOT, ADVANC, CPALL, ICHI, OSP, WHA, MINT)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เงินบาทอ่อนค่าระยะนี้หนุน (GFPT, TU, KCE, HANA)

• MAY24 Best Picks: ICHI, BJC, HANA, IVL, MINT, CPALL, OSP

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 


• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯ(มีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024) โดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

 


• Strategy Update : Container & Freight Forwarder : "A New Upward Cycle"

ดัชนีค่าระวางเรือ Containerปี 2024 กลับมาปรับตัวขึ้นโดดเด่นมาเคลื่อนไหวในระดับ 3500 +/- จุด (vs ต้นปีบริเวณ 4,000 จุดช่วงทะเลแดงตึงเครียด vs 10,000 +/- จุดช่วง COVID) แรงขับเคลื่อนสำคัญรอบนี้จากการฟื้นตัวฝั่งความต้องการ (Demand) ที่หนุนจากสัญญาณการภาคผลิตโลก บ่งชี้จาก Global Manufacturing PMI กลับมาอยู่ในระดับขยายตัว (>50 จุด) 3 เดือนต่อเนื่อง หนุนจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ยุโรปที่เร่งขึ้น (52% ของการค้าโลก) ขณะที่เราเชื่อระยะสั้นยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเร่งสั่งซื้อสินค้าระยะสั้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ – ยุโรป - จีน ทยอยกลับมาออกมามาตรการกีดกันการค้าแบบอ่อนๆ ระหว่างกันช่วงนี้ ตามที่เรานำเสนอว่าน่าจะเป็นเชิงสัญลักษณ์ก่อนการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ พ.ย. 24 น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อน Demand ต่อ
มุมมองดังกล่าวหนุนราคาหุ้นในกลุ่มดำเนินธุรกิจเดินเรือขนส่ง Container โดยตรง โดยเฉพาะ RCL ปรับตัวขึ้นร้อนแรง 63.7% ภายใน 1 เดือน อย่างไรก็ตาม เชิงกลยุทธ์ เรามองหุ้นอีกกลุ่มที่ยังมีโอกาสเก็งกำไรลักษณะ Tactical Play คือ หุ้นในกลุ่ม Freight Forwarder ในส่วนที่มีสัดส่วนรายได้จากฝั่งเรือในสัดส่วนสูง อาทิ WICE (34% ของรายได้) SONIC (62% ของรายได้) SINO (90% ของรายได้) ที่ MTD เพิ่งปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 14.7% ขณะที่ระดับ Correlation (ราคาหุ้น กับ WCI) ที่บ่งชี้ระดับการเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกันแทบไม่แตกต่างกัน โดย RCL, WICE, SONIC อยู่ที่ 0.71, 0.6 และ 0.69 ตามลำดับ (SINO ข้อมูลทางสถิติไม่พอ) มองหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นน้อย แต่ได้ประโยชน์ไม่ต่างจาก RCL อาทิ SINO, SONIC น่าเข้าเก็งกำไรในเชิง Tactical Plays

• Strategy Update : Data Center

กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW
การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค
KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

• Strategy Update : MSCI Rebalance

หุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี ปรับน้ำหนักดัชนีวันที่ 31 พ.ค.

MSCI Global Standard หุ้นเข้า - ไม่มี

หุ้นออก – LH( - 200 ล้านเหรียญฯ), BTS(- 175 ล้านเหรียญฯ), MTC(- 100 ล้านเหรียญฯ)

MSCI Global Small Cap

หุ้นเข้า : BTS, JTS, LH, MTC หุ้นออก : BLAND, DITTO, FORTH, KSL, MAJOR, PSL, RS, SGP, SPCG, WHAUP

 

• Strategy Update : SET50/100 2H24 Second update

ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้า SET50/SET100 เริ่มใช้จริงรอบ 2H24 หนุนให้ BJC เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์ และกลับเข้ามาในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

วันนี้ตลาดหลักทรัพย์อัพเดทสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการปรับเกณฑ์สภาพคล่องในการคัดเลือกหุ้นเข้า SET50/100 และจะเริ่มใช้จริงรอบ 2H24 เราคาดเป็นตัวหนุนหุ้น BJC กลับเข้ามาอยู่ในดัชนี SET50/SET100 อีกครั้ง

 

โดยสำหรับคาดการณ์หุ้น SET50/SET100 ล่าสุดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC (โอกาสเข้า 100% กรณีปรับเกณ์), BCP (โอกาสเข้า 90%), TIDLOR (โอกาสเข้า 90%) และ ITC (โอกาสเข้า 70%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU, (โอกาสหลุด 70%), SAWAD (โอกาสหลุด 70%), KCE (โอกาสหลุด 90%) และ COM7 (โอกาสหลุด 90%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 7 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, QH, SKY, JAS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 7 บริษัท คือ AURA, FORTH, MOSHI, ORI, RCL, SNNP, TKN

กลยุทธ์ :แนะนำ เก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 โดย เราชอบ BJC, BCP และ ITC ส่วน SET100 เราแนะนำเก็งกำไร BA, CKP

 

 

• ASIAN, AAI (Unrated): ประเด็นสรุปจากประชุมนักวิเคราะห์ ASIAN และ AAI ทั้งสองบริษัทมีกำไรสุทธิใน 1Q24 ฟื้นตัว y-y และเติบโต q-q ปัจจัยหลักคือการเติบโตของธุรกิจ petfood ซึ่งคิดเป็น 85% ของยอดขาย AAI และ 49% ของยอดขาย ASIAN ขณะที่ธุรกิจท้าทายได้แก่ทูน่ากระป๋องที่อ่อนตัวเพราะบริษัทเน้นวัตถุดิบไปผลิต petfood ที่โอกาสเติบโตและมาร์จิ้น สูงกว่า ธุรกิจอาหารแช่แข็ง (frozen food) ผันผวนขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบหลักคือปลาหมึกที่จับจากธรรมชาติ ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ มีการปรับโครงสร้างธุรกิจลดสินค้าบางชนิดลงทำให้ยอดขายปีนี้ลดลง สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q24F ทั้ง ASIAN และ AAI ไปในทิศทางเดียวกันคือเพิ่มขึ้น q-q จากยอดขายและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ petfood และเป็นปัจจัยหลักของเป้ายอดขายเติบโตในปี 2024 ปัจจุบันเป้าหมายปี 2024 ของ ASIAN และ AAI มี upside ในเป้าหมาย GPM ที่อาจเพิ่มได้อีก

• BANK (Neutral), Finance (Bearish):เรามีมุมมอง Slightly Negative ต่อประเด็นข่าวคลังเตรียมแก้กฎหมายลดระยะเวลาติดเครดิตบูโร เพราะเรามองว่าจะทำให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงในการประเมินการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้มากขึ้น ทั้งนี้การคัดกรองลูกค้าทางสถาบันการเงินประเมินหลายอย่างประกอบกัน เช่น ภาระหนี้ที่มีอยู่เดิม ประวัติการชำระของลูกหนี้ที่แต่ละสถาบันการเงินเก็บข้อมูลเอง และหลักประกันความเสี่ยงของผู้ขอสินเชื่อ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลทางเครดิตบูโรเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการพิจารณาเท่านั้น

 

2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

พีที สเตชั่น จับมือ "โป๊ยเซียน" แจกยาดม 2 หมื่นหลอด เติมความสดชื่นเต็ม MAX ในแคมเปญ "เพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง"

พีที สเตชั่น จับมือ "โป๊ยเซียน" แจกยาดม 2 หมื่นหลอด เติมความสดชื่นเต็ม MAX ในแคมเปญ "เพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง"

งบหมดแล้ว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา SET หมุนทะลุเส้น 1200 จุด อีกครั้ง ด้วยแบงก์ ,อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้