Company Note
Thai Union Group
แนวโน้มผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
สรุปจากการประชุมนักวิเคราะห์
ผู้บริหารยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้โต 3-4% อัตรามาร์จิ้น 17-18%, และการจ่ายปันผลนโยบายไม่เกิน 50% ของกำไร เป้าหมายรายได้ใช้ค่าเงินอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.5 บาท และต้นทุนใช้ระดับปลาทูน่าที่ 1,700-1,750 เหรียญ/ตัน โดยสองปัจจัยจากค่าเงินและราคาปลาทูน่าจะมีผลต่อรายได้ บริษัทมองว่าหากราคาต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าสูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวอยู่ระดับปัจจุบันนี้ที่ 36 บาท ทั้งปี อาจจะทำให้รายได้มากกว่าเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ได้
บริษัทคาดผ่านจุดต่ำสุดใน 1Q24 แล้ว มองแนวโน้มธุรกิจ 2Q24 เป็นต้นไปจะดีขึ้น จากคาดราคาปลาทูน่าจะค่อยๆ เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป คาดราคาไม่เกิน 1,800 เหรียญ/ตัน และระดับราคานี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการขายที่ลดลง จากปัจจุบันเฉลี่ย 1,375 เหรียญ/ตัน ทั้งนี้ขึ้นกับ demand ในตลาดด้วยเช่นกัน โดยหากราคาปลาทูน่าปรับขึ้นจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับราคาขายกับลูกค้ากลุ่ม OEM สูงขึ้น คาดอัตราทำกำไรสูงขึ้นจากคาดอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
สำหรับค่าแรงขั้นต่ำหากมีการปรับขึ้น 400 บาท คาดว่าจะกระทบอัตราทำกำไร 0.2% สำหรับทั้งปี อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และบริษัทมองค่าแรง 700 บาท ในปี 2570และมีการวางแผนเตรียมความพร้อมจัดการกับสถานการณ์ด้วยการ transformation ธุรกิจเต็มรูปแบบ เพื่อบริหารควบคุมต้นทุน และต้องการลงทุนเรื่องแบรนด์ที่มีอยู่ sustainability และ digital มากขึ้นสำหรับองค์กร คาดจะเห็นแผนใน 2Q24 เพื่อใช้เป็นแผนระยะยาวใช้เวลา 1-2 ปี
Net D/E 1Q24 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.82x จาก 0.78x หลักๆ มากจากาโปรแกรมซื้อหุ้นคืน 200 ล้านหุ้น ระยะเวลาถึงสิ้นเดือน มิ.ย.24 โดย 1Q24 ซื้อหุ้นคืนแล้ว 85.7 ล้านหุ้น เพื่อวางแผนลดทุน โดยแผนซื้อหุ้นคืน 2 ชุด จะทำให้ eps เพิ่มขึ้นกว่า 20% และบริษัทวางแผนใช้ CAPEX ต่ำกว่าปกติอยู่ที่ 4-4.5 พันล้านบาท
เรายังคงประมาณการเดิม คาดกำไรปกติจะกลับมาเพิ่มขึ้น
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q-3Q24F คาดจะดีขึ้นต่อเนื่อง QoQ จากยอดขายทุกกลุ่มจะกลับมาเพิ่มขึ้น เป็นช่วงซีซั่นการบริโภคของอเมริกาและยุโรป ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นและจากสถานการณ์การเงินปลายปีที่ผ่านมาของ Middle East และ Affrica กลับตัวมาดีขึ้น ส่งผลให้มีออเดอร์ กลับมาเพิ่มขึ้น และคาดอัตราทำกำไรจะค่อยๆเพิ่มขึ้นได้ จากการที่บริษัทมีสต๊อกปลาทูน่าที่มีต้นทุนที่ต่ำปกติจะสต็อก 2-3 เดือน
เรายังคงประมาณการเดิมคาดกำไรปกติปี 2024F มาอยู่ที่ 5,810 ล้านบาท (+23%YoY) จากการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจาก Red Lobster (RL) แล้ว และคาดกำไรสุทธิปี 2025F อยู่ที่ 6,545 ล้านบาท (+13%YoY) ตามลำดับ แนวโน้มราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลต่ออัตรามาร์จิ้นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น และส่งผลธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น แต่แนวโน้มราคาปลาทูน่าที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อการปรับราคาขาย OEM ได้เพิ่มขึ้น สำหรับคาดธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งคาดยังลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการปรับลดขนาดธุรกิจในสหรัฐฯ เราคาดอัตราทำกำไรจะค่อยๆดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดจะกลับมาเติบโตมีอัตรามาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดใกล้เคียงเดิม และบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ปีละ 7% จากการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI และไม่มีเครดิตภาษีเงินได้จากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากคาดผลประกอบการเริ่มกลับมาปกติและการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster (RL) แล้ว รวมถึงสถานการณ์ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย มูลค่าที่เหมาะสมที่ 17.5 บาท อ้างอิง historical PE forward ย้อนหลัง 7 ปี ที่ 14X โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER24F ที่ 12X และคาด Dividend Yield 24F ที่ 4.7% สถานะการเงินแข็งแกร่งคาด Net Debt/Equity 24F อยู่ที่ 0.6X ความเสี่ยง : ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว, ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ, การขาดแคลนเรือนขนส่ง