The Klinique Medical Clinic (KLINIQ) จัดประชุมนักวิเคราะห์ออนไลน์เพื่ออัปเดตหลังผลประกอบการออก พร้อมหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ และเป้าหมายปี 2024 โดยประเด็นสำคัญบางส่วนจากการประชุมมีดังนี้

• เป้าหมายปี 2024 : ผู้บริหารเผยปี 2024 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% เป็น 3.0 พันล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 13% (ปี 2023 เป็น 12.6%) ในระหว่างการสนทนา ยังได้แสดงความเห็นว่าต้องการให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายไม่เกิน 25.0% ในปีนี้ (ปี 2023 ที่ 27.5%) และค่าใช้จ่ายในการบริหารไม่เกิน 10.0% (ปี 2023 อยู่ที่ 12.0%)
• เป้าหมายการเปิดสาขา : KLINIQ สิ้นสุดปี 2023 มีสาขาทั้งหมด 55 สาขาในประเทศไทย (เปิด 5 สาขาใน 4Q23 และรวม 15 สาขาตลอดทั้งปี) ตั้งแต่ต้นปีนี้ บริษัทได้เปิดสาขาแล้วอีก 8 สาขา และอีก 2 แห่งอยู่ในแผนก่อนสิ้นสุด 1Q24 ในช่วงที่เหลือของปีบริษัทมีแผนเปิดอีก 10 สาขา ซึ่งกระจายครอบคลุม 3 ไตรมาสที่เหลือ (ภายใต้แบรนด์หลัก 'The Klinique') และอีกครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้แบรนด์ L.A.B.X) ซึ่งเกินเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 15 สาขาใหม่ในปีนี้
• โมเมนตัมยอดขายในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ยังคงแข็งแกร่ง : บริษัทเปิดเผยว่าใน 4Q23 รายได้ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนได้รับผลกระทบจากเหตุกราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน แต่ก็กลับมาอย่างรวดเร็ว และทำสถิติสูงสุดใหม่ในเดือนธันวาคม และโมเมนตัมยังรักษาได้ตลอดช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (ได้รับแรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยว) ณ สิ้นปี 2023 โดยนักท่องเที่ยวมีสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้
• ประเด็นสำคัญอื่นๆ : บริษัทแจงกำไรปี 2023 มาจากสาขาภายใต้แบรนด์ The Klinique เป็นหลัก ทั้งนี้ ศูนย์ผ่าตัดของทำกำไรเท่ากับต้นทุนพอดีในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 นอกจากนี้ KLINIQ ยังได้ทดสอบเปิดคลินิกระดับ 4 ดาวภายใต้แบรนด์ L’ Clinic และสปา เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ทางบริษัทก็มีแผนปรับปรุงอัตรากำไรผ่านศูนย์ผ่าตัดซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อบิลสูงกว่า
• ประเด็นสำคัญทางการเงินปี 2023 : จากการนำเสนอ รายได้เพิ่มขึ้น 39.4% YoY เป็น 2.3 พันล้านบาทในปี 2023 ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 54.0% ในปี 2023 จาก 56.3% (เนื่องจากรูปแบบร้านที่เปิดต่างกันโดยมีอัตรากำไรขั้นต้นต่างกัน 'เดอะคลีนิกค์) ' แบรนด์ยังคงครองอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุด) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 40.5% YoY เป็น 288.6 ล้านบาท
• ประมาณการจาก consensus ปี 2024 : จาก SETTRADE consensus คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 13.3% เป็น 327 ล้านบาท (EPS 1.49 บาท) ในปี 2024F และเพิ่มขึ้น 19.0% เป็น 389 ล้านบาท (EPS ที่ 1.77 บาท) ในปี 2025F ดังนั้น หุ้นจึงมีการซื้อขายที่ PER ที่ 27 เท่า สำหรับปี 2024F และ 23 เท่า สำหรับปี 2025F

Wrap talk เป็นรายงานประเด็นสำคัญของบริษัทจดทะเบียนจากการประชุมร่วมกับผู้บริหาร บริษัทดังกล่าวยังไม่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราแต่เป็นบริษัทที่กำลังได้รับความสนใจจากตลาด อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองสามแบบ - เชิงบวก เป็นกลาง และเชิงลบ – เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ทันท่วงที