Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: NER ปี 66 กวาดกำไร 1,545 ล้านบาท พร้อมปันผล 0.29 บาท/หุ้น

1,232

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (28 กุมภาพันธ์ 2567)-------บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.29 บาท/หุ้น XD 23 เม.ย. 67 กำหนดจ่าย 9 พ.ค.67 ด้านผลประกอบการปี 2566 กวาดกำไร 1,545 ล้านบาท ด้านปี 2567 ตั้งเป้าปริมาณขายโต 5 - 10% จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังการผลิตที่ 302,400 ตัน เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ ด้าน ESG บริษัทยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานในทุกมิติ ควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ

 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่ามติคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.34 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 628.25 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 92.39 ล้านบาท ที่ได้จ่ายเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566

 

โดยคงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.29 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 535.86 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2566 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 40.65% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 23 เม.ย.2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พ.ค. 2567 ทั้งนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ก่อน

 

ด้านผลการดำเนินงานปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีปริมาณขาย 497,053 ตัน คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 25,045.17 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 16,259.49 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64.92% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 8,785.68 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.08% ของยอดขายรวม ส่วนกำไรสุทธิสำหรับปี 2566 อยู่ที่ 1,545.60 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.17% ของรายได้จากการขายรวม

 

สำหรับรายได้จากการขายที่ลดลงเกิดจากสถานการณ์ราคายางที่ปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับปี 2565 ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยในปี 2566 ลดลง 10.71% โดยรายได้ที่ลดลงแบ่งเป็นผลต่างด้านด้านราคาที่ปรับตัวลดลง อยู่ที่ 3,003.90 ล้านบาท และแบ่งเป็นผลต่างด้านปริมาณสูงขึ้นอยู่ที่ 2,875.43 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ มีต้นทุนขายเมื่อเทียบกับปี 2565 ต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.91% โดยต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทเพิ่มขึ้นมาจากความผันผวนของราคายางในปี 2566 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบยางเมื่อเทียบกับรายได้มีต้นทุนที่สูงขึ้น

 

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทฯคาดว่าจะมียอดขายยางพาราอยู่ที่ประมาณ 5.1 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 5 - 10% จากยอดขายปี 2566 เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับปรุงโรงงาน และครื่องจักรเดิมให้มีประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าใช้งบลงทุนราว 30 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 มีกำลังการผลิต 302,400 ตัน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะมีกำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จปลายปี 2567 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 ซึ่งภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 818,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 515,600 ตัน เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ

 

นอกจานี้บริษัทฯ มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี

 

ในส่วนขอด้าน ESG บริษัทฯ ยังคงดำเนินโครงการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติด้านบรรษัทภิบาล อาทิ โครงการห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน โครงการตลาดสีเขียว โครงการห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ โครงการ NER ร่วมใจลดขยะพลาสติก โครงการตรวจสุขภาพกลุ่มเปราะบาง โครงการส่งสุขความรู้สู่ดวงใจพนักงานผ่านคาราวานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และจะดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ

 

บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) แนะซื้อ NER
ราคาพื้นฐาน 6.15 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป(ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า 4Q66 มีปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยที่ดีขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นเติบโต y-y และ q-q และมีกำไรพิเศษเข้ามาเสริม ทำให้มีกำไรสุทธิเติบโตมากกว่าคาด แต่กำไรสุทธิทั้งปี 66 อ่อนตัว y-y จากราคายางที่ปรับตัวลง NER ใช้วิธีการซื้อขายแบบ Matching ทำให้ควบคุมกำไรขั้นต้นได้ เสถียรกว่า STA 4Q66 กำไรมากกว่าคาด : 4Q66 ปริมานขาย 1.27 แสนตัน เพิ่มขึ้น q-q แต่ลดลง y-y ราคาขายเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ทำให้มีรายได้รวม 6,605.3 ลบ. -6.8%y-y +17.4%q-q ทำอัตรากำไรขั้นต้นที่ 11.3%+133bps y-y +35bps q-q เป็นผลทำให้มีกำไรขั้นต้นเติบโต y-y และ q-q และมีกำไรพิเศษจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของตราสารอนุพันธ์ราว 60 ลบ. กำให้มีกำไรสุทธิ 461.7 ลบ. +25.5%y-y +47.9%q-q สูงกว่าที่ฝ่ายคาดไว้รวมทั้งปี 66 มีปริมาณขาย 4.97 แสนตัน +11.4%y-y รายได้รวม 25,045.2 ลบ. -0.5%y-y ทำอัตรากำไรขั้นต้น 11.2% -91bps y-y สถานการณ์ราคายางที่ปรับตัวลงในปีนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง แต่ข้อดีของ NER คือการซื้อขายแบบ Matching ซึ่งจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ เสถียรกว่าในภาวะราคายางผันผวนเมื่อเทียบกับ STA ทำให้มีกำไรสุทธิ 1,545.6 ลบ. -11.6%y-y ยังคงรักษาระดับกำไรได้ดีขณะที่ STA มีขาดทุนสุทธิในปีนี้ ประกาศจ่ายปันผลในช่วง 2H66 เพิ่มอีก 0.29 บาท XD 22 เม.ย. 67จ่าย 9 พ.ค. 67 ปีนี้จะได้ประโยชน์จากราคายางที่สูงขึ้น : คาดว่าแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยยังปรับตัวขึ้นใน 1Q67 และ 2Q67 ขณะที่ปีนี้ผู้บริหารตั้งเป้าปริมาณขายที่ 5.1 แสนตัน ปีนี้จะได้ประโยชน์จากราคายางที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นหลัก ราคาพื้นฐาน 6.15 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ


อดิสรณ์ มุ่งพาลชล, นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ / ทศวรรณ ธรรมสุข, ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ #18577

///จบ///

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

MPJ ผู้นำโลจิสติกส์แบบครบวงจร หุ้นโลจิสติกส์น้องใหม่ จัดโรดโชว์ศุกร์ 11 ตุลาคมนี้ เตรียมขาย IPO 53 ล้านหุ้น ปลายเดือนนี้

MPJ ผู้นำโลจิสติกส์แบบครบวงจร หุ้นโลจิสติกส์น้องใหม่ จัดโรดโชว์ศุกร์ 11 ตุลาคมนี้ เตรียมขาย IPO 53 ล้านหุ้น ปลายเดือนนี

ทิศทาง By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม มองตลาดหุ้นไทย ยังไม่ทิศทางที่ชัดเจนจะแทงขึ้น หรือแทงลง เป็นอะไรที่ต้องดูไปแบบวันต่อวัน....

"MEDEZE" นำเสนอข้อมูลนักลงทุน VI โชว์ศักยภาพผู้นำสเต็มเซลล์ และ Biotech ของประเทศไทย

"MEDEZE" นำเสนอข้อมูลนักลงทุน VI โชว์ศักยภาพผู้นำสเต็มเซลล์ และ Biotech ของประเทศไทย

มัลติมีเดีย

รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์

รู้จัก เมดีซ กรุ๊ป ก่อนเทรด บนกระดาน SET - สายตรงอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้