สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 กุมภาพันธ์ 2567)--------บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)SNNP เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทยังคงมีการเติบโตของผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยกําไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ (“กําไร สุทธิฯ”) เติบโตร้อยละ 23.3 เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยอดขายต่างประเทศ (คิด เป็นเติบโตร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนยอดขายต่างประเทศร้อยละ 27.0 เมื่อเทียบกับยอดขายรวม) โดยเฉพาะยอดขายในประเทศเวียดนาม ซึ่งสะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามที่ปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวล รวม (GDP) ของประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตในปี 2566 และ ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 อยู่ที่เติบโตร้อยละ 5.1 และร้อยละ 6.7 เมื่อ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนตามลําดับ

ส่วนในแง่ของดอกเบี้ยนโยบายที่เวียดนามยังคงไว้อยู่ที่อัตราร้อยละ 4.5 (ซึ่งลดลงจาก จุดสูงสุดของปี 2566 ในเดือนเมษายนที่ ร้อยละ 6.0) มากไปกว่านั้นในด้านการบริโภคสินค้าและบริการของเวียดนามปี 2566 เติบโต ร้อยละ 9.6 เมื่อเทียบกับปี 2565 รวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของอัตราการว่างงานจําแนกตามอายุการทํางานปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2.0 เมื่อ เทียบกับ 2565 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 โดยในปี 2566 บริษัทมีพัฒนาการที่สําคัญจากการติดตั้งเครื่องจักรของแบรนด์เบนโตะ และเจเล่ที่ ประเทศเวียดนามแล้วเสร็จ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในทุกๆด้านในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ พร้อมทั้งคาดได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาพเศรษฐกิจในประเทศเวียดนาม

ในขณะที่ภาพรวมธุรกิจในประเทศของบริษัทในปี 2566 ยังคงมีการเติบโตของยอดขายโดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้น ตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในประเทศหลังจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2562 โดยเฉพาะภาพรวมการ ท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมามีจํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มเข้ามาเป็น 28.2 ล้านคน คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 154.4 เมื่อ เทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งแนวโน้มอัตราหนี้ภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ที่ปรับตัวดีขึ้น จากสิ้นปี 2564 - 2566 อยู่ ที่ร้อยละ 90.2 ร้อยละ 87.1 และร้อยละ 86.6 ตามลําดับ โดยตลาดขนมในประเทศกลุ่มขนมขบเคี้ยวประเภทปลาหมึกอบ แบรนด์เบนโตะยังคงเป็นอับดับ 1 ในหมวดดังกล่าว เช่นเดียวกับ เจเล่บิวตี้ที่ยังครองอับดับ 1 เช่นกัน

ในด้านของแบรนด์โลตัส ทาง ผู้บริหารได้เน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ หนังไก่กรอบรสชาติต่าง ๆ หรือปูอัดอบกรอบ เป็นต้น ทางผู้บริหารมีความตั้งใจที่จะ ผลักดันแบรนด์โลตัสให้มีความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้กล่าวข้างต้นได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคในตลาด

ในปี 2567 บริษัทยังคงตั้งเป้าการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยหลักมาจากการเติบโตในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศ เวียดนาม นอกจากนี้จะนี้จะขยายยอดขายมากขึ้นในประเทศ ฟิลิปปินส์ เกาหลี จีน ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ซึ่งการที่บริษัทมีสัดส่วน ยอดขายต่างประเทศที่สูงขึ้น นอกจากจะสร้างการเติบโตทางด้านยอดขายแล้ว ยังทําให้แนวโน้มอัตรากําไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัว ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ในขณะที่ภาพการดําเนินธุรกิจในประเทศ บริษัทยังคงตั้งเป้าในการครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของแบรนด์ หลัก (แบรนด์ เบนโตะ และ เจเล่) รวมทั้งการสร้างสินค้าแชมเปี้ยนใหม่ เพื่อเพิ่มการเติบโตของยอดขายและ
ลดผลกระทบยอดขาย หดตัวจากช่วงโลว์ซีซันของสินค้าแต่ละแบรนด์