Today’s NEWS FEED

News Feed

PTTGC เผยงบรวมปี66 มีกำไรสุทธิ 999.12 ล้านบาท และมีรายได้รวม 616,635 ล้านบาท พร้อมประเมินเศรษฐกิจจะค่อยๆ คลี่คลายอย่างช้าๆในช่วงครึ่งปีหลัง ,ปี67อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นอยู่ที่101%

684

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(12 กุมภาพันธ์ 2567)-- บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGCรายงานงบการเงินรวมปี2566 มีกำไรสุทธิ 999.12 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท


ผลประกอบการในปี2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 616,635 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 9 จากราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีปรับลดลงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก อย่างไรก็ตามในด้านปริมาณการขายธุรกิจโรงกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่ปี 2565เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาส 4 ปี 2565ในขณะที่ปี 2566ไม่มีปิดซ่อมบำรุง ทำให้ปริมาณการขายปี 2566 ปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อนในปีก่อนหน้า ในขณะที่ปี 2565 มีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปี2565 ปรับสูงขึ้นกว่าปกติโดยในปี 2566บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 40,007 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 19จากปีก่อนหน้า ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นกลางและกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากก าลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาเป็นจำนวนมากในปี 2566รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคง
ตัว


โดยในภาพรวมในปี 2566 บริษัทฯ รายงานขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ(1)ในปีนี้อยู่ที่3,587 ล้านบาท จากปัจจัยอุปสงค์ยังคงชะลอตัวจากสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นและอุปทานของภาคปิโตรเคมีที่เข้ามาในระหว่างปีโดยบริษัทฯ รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 2,756 ล้านบาท กำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 790 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ขายหุ้น GCL ตามที่ได้กล่าวข้างต้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,640 ล้านบาท โดยมีกำไรพิเศษที่เกี่ยวข้องจากรายการนี้ (รวมกำไรจากการตีมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนที่เหลือใน GCL) เป็นจำนวน 4,017 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯยังดำเนินการลดภาระหนี้สินทางการเงินด้วยการซื้อหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐฯ โดยมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ดังกล่าวจำนวน 1,890 ล้านบาท การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้มีปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการนอกเหนือจากการด าเนินงานตามปกติของบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จำนวน 725 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงในปีนี้ ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทฯ รายงานผลกำไรสุทธิรวม 999 ล้านบาท (0.22 บาท/หุ้น)


(1) กำไร/ขาดทุนจากการดำนินงานปกติ ไม่รวมผลกำไร/ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินผลกำไร/ขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ

 

 

*แนวโน้มตลำดและธุรกิจในปี 2567*
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีแนวโน้มเติบโตลดลง แม้จะมีการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 สงครามในยูเครนและวิกฤตพลังงาน แต่ทั้งนี้การเติบโตของโลกมีแนวโน้มอ่อนแอทั้งในภาพรวมและรายประเทศ ผนวกกับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงในรอบกว่าทศวรรษในประเทศสำคัญของโลก และการเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ทั้งจากความยืดเยื้อของสถานการณ์สงครามในรัสเซียและยูเครน และประเด็นการสู้รบระหว่างอิสราเอสและฮามาส จึงคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวจากร้อยละ 3.5ในปี 2565เป็นร้อยละ 3.0 ในปี2566และร้อยละ 2.9ในปี 2567(IMF ตุลาคม 2566) อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ คลี่คลายอย่างช้าๆในช่วงครึ่งปีหลัง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนานาชาติ และจะทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น
บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี2567อยู่ที่เฉลี่ย 75-85เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยยังมีความกดดันของภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า รวมถึงความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน ซึ่งส่งผลต่อความกังวลต่อการชะลอตัวของความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่ด้านอุปทานคาดการณ์กลุ่มโอเปกและพันธมิตร (โอเปกพลัส) ยังคงควบคุมกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสมดุลของตลาด อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ความตึงตัวของอุปทานจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่นสหรัฐฯ บราซิล หรืออิหร่านและเวเนซุเอล่า

สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี2567 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากในปี2566เนื่องจากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ รวมถึงผลพวงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง และเป็นปัจจัยกดดันต่ออุปสงค์ทำให้ชะลอตัวลงขณะที่อุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยบริษัทฯคาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่15-19เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 9-12เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊ซโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14-18เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ด าเนินการยังคงบริหารจัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม โดยบริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี2567อยู่ที่ร้อยละ101%


ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี2567จะปรับตัวลดลงอยู่ที่ 370-390เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากปี 2566 ยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 240-260เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ใกล้เคียงกับปี 2566อย่างไรก็ตามคาดการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีทิศทางดีขึ้น และผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนต่อเนื่องจากปี 2566จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ภาพรวมตลาดเบนซีนมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี2567อยู่ที่ร้อยละ 94

 


ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์บริษัทฯ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนจะอยู่ที่ 910-940เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 900-930เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 คาดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะคลี่คลายอย่างช้าๆในช่วงครึ่งปีหลัง จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนต่ออุปสงค์ภาพรวมตลาดเอทิลีนและตลาดโพรพิลีนได้ ในขณะที่กำลังการผลิตยังคงมีปัจจัยกดดันจากก าลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี2567อยู่ที่ร้อยละ 92


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี2567 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F)จะอยู่ที่210-230เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากปี 2566โดยยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก และจะค่อยๆมีทิศทางดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่ในประเทศจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันผลิตภัณฑ์ฟีนอล

สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่540-560เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยด้านอุปสงค์คาดการณ์จะค่อยๆ มีการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ที่ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของโมโนเอทิลีนไกลคอล สำหรับผลิตภัณฑก์รดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์(PTA)และคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ PTA จะสามารถปรับตัวขึ้นในปี2567แบบค่อยเป็นค่อยไปจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะการค้าขาย การท่องเที่ยว และอื่นๆ ที่จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติมากขึ้น


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี2567 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่1,050– 1,080เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566โดยความต้องการเม็ดพลาสติกคาดได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของแต่ละประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตามคาดว่ามีปัจจัยกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและนโยบายทางการเงินเพื่อบริหารจัดการอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคยุโรปและตะวันออกกลาง ด้านอุปทานคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณการผลิตใหม่จากประเทศจีน อินเดีย และสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี2567อยู่ที่ร้อยละ 104


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
ภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อความต้องการของผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรม (Coating Resin) อย่างไรก็ตามคาดว่าการเติบโตของความต้องการของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะยังคงสูงกว่าการ เติบโตของ GDP โดยรวม ทั้งนี้ อัตราการฟื้นตัวของธุรกิจจะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปลายทาง ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้