สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(22 มกราคม 2567)----- ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) KKP รายงานงบการเงินงวดปี 2566 มีกำไรสุทธิ 5,443 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,602 ล้านบาท
สำหรับปี 2566 ธนาคารเกียรติคินภัทรและบริษัทย่อยมีผลประกอบการที่ปรับลดลง โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนค้านเครดิตและผลขาดทุนจากการขายรถยึดในส่วนของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึงและปัจจัยทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อ ประกอบกับการที่ธนาคารมีการขยายตัวของสินเชื่อในระดับที่สูงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งยังมีสัดส่วนสิบเชื่อเช่าซื้อเป็นสัดส่วนที่ก่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมของธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารได้รับผลกระทบที่ก่อนข้างมาก ในขณะที่ธุรกิจทางด้านตลาดทุนได้รับผลกระทบเช่นกันจากภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย รวมแล้วส่งผลให้ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2566 จำนวน 5,443 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28.4 เมื่อเทียบกับปี 2565 หากพิจารณากำไรเบ็ดเสร็จรวมสำหรั บปี 2566 เท่ากับ 5.452 ล้านบาท
ทั้งนี้สำหรับปี 2566 ธนาคารยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดีโดยมีรายได้จากการดำเนินงานร วม28,763 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 หากเทียบกับปี 2565 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัวและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวที่ร้อยละ 5.3 สำหรับปี2566 นอกจากนี้ธนาคารยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีส่วนต่างอัตราคอกเบี้ยสุทธิในระดับที่ดีกว่าคาคการณ์ ในขณะที่ทางงด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงที่ร้อยละ 23.5 จากภาวะทางค้านตลาดทุนที่ยังคงซบเซาและส่งผลกระทบต่อการลงทุน ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลคลง โดยหลักจากการ ลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าประกันปรับลดลงเช่นกันตามการชะลอตัวของสินเชื่อปล่อยใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหากไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินรอการขาย ธนาคารยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิสำหรับปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 40.4 ซึ่งอยู่ในระดับที่แสดงถึงการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดปี 2566 ธนาคารได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเร่งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อที่มีการปรับตัวอ่อนลง รวมถึงการเร่งบริหารปริมาณรถยึดคงค้างอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สถานการณ์กลับมาสู่ระดับปกติโดยเร็ว ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากรายการผลขาดทุนจากการขายทรัพย์สินรอการขายยังอยู่ในระดับสูง ตามการบริหารจัดการปริมาณทรัพย์สินรอการขายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้จากมาตรการต่างๆที่ธนาคารได้มุ่งคำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ส่งผลให้ธนาคารเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากผลขาคทุนด้านเครดิตที่เริ่มปรับตัวลดลงใน ไตรมาส4/2566 นอกจากนี้ในปี 2566 ธนาคารสามารถจัดการสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตรายใหญ่ที่คงค้างอยู่กับธนาคารมาเป็นระยะเวลายาวนานได้สำเร็จ ส่งผลให้ปริมาณสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตในส่วนของสินเชื่อธุรกิจปรับลดลงมาก
ในขณะเดียวกันธนาคารยังคงมีการบริหารคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง และคงความระมัดระวังในการพิจารณาความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแนวโน้มการเสื่อมถอยของสินเชื่อ และมีการสำรองผลขาคทุนด้านเครดิตที่คาคว่าจะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง โดยสำหรับปี 2566 ธนาคารมีการสำรองผลขาคทุนด้านเครดิตที่คาคว่าจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 6,082ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 หากเทียบกับปี 2ร6ร โดยในจำนวนนี้ได้รวมการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มในไตรมาส4/2566 เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับลูกค้าสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่ง ที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ โควิด-19 ที่ผ่านมา โดยธนาคารอาจต้องมีการพิจารณาจัดชั้นเชิงคุณภาพสินเชื่อรายนี้ในอนาคตซึ่งมีขนาดประมาณ2,000 ล้านบาท โดยธนาคารได้มีการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มเป็นจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และส่งผลให้ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาคว่าจะเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายนี้ก่อนการพิจารณาจัดชั้น
สำหรับอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 164.6 ปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ154.4 ณ สิ้นปี 2565 ทางค้านคุณภาพสินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครคิตต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2566 ปรับลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.2 จากร้อยละ 3.5 ในไตรมาสก่อนหน้าและลดลงจากร้อยละ 3.3 หากเทียบกับ ณ สิ้นปี 2565