ประกาศกำไรสุทธิ 3Q23 เพิ่มขึ้น YoY แต่อ่อนตัว QoQ
MAJOR ประกาศกำไรสุทธิ 3Q23 อยู่ที่ 104 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นจาก 3Q23 อยู่ที่ 21 ล้านบาท แต่ลดลงจาก 2Q23 ที่ 532 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื้อการลงทุนและการกลับรายการเครดิตที่คาดจะเกิดรวม 11 ล้านบาท กำไรจะอยู่ที่ 93 ล้านบาท (+16% YoY, -53% QoQ) ในไตรมาสนี้มีการบันทึกภาษีบวกกลับ (tax carry forward) ที่ 77 ล้านบาท จากการขาย MPIC ที่ขาดทุน โดยหากพิจารณาจากผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 16 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากการดำเนินงาน 71 ล้านบาทใน 3Q23 และ 231 ล้านบาทใน 2Q23 เนื่องจากใน 3Q23 ไม่มีหนังที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท เช่น Mission : Impossible 7 ทำรายได้ 85 ล้านบาท, Oppenheimer 68 ล้านบาท และ MEG2 68 ล้านบาท เทียบกับ 3Q22 ที่มีหนังทำเงินเช่น บุพเพฯ2 ที่ทำรายได้ 260 ล้านบาท, Thor4 173 ล้านบาท และ One Piece 81 ล้านบาท และเทียบกับ 2Q23 ที่มีเรื่อง Fast 10 รายได้ 200 ล้านบาท, Guardians of the Galaxy รายได้ 125 ล้านบาท, Transformers รายได้ 124 ล้านบาท เป็นต้น ส่งผลให้รายได้ธุรกิจอาหาร/เครื่องดื่มหน้าโรงภาพยนตร์ลดลงตามรายได้หนังที่ลดลง ยกเว้นรายได้จากการโฆษณาที่เพิ่มขึ้นจากการงานจัดกิจกรรมที่เพิ่มขึ้น ในไตรมาสนี้มีบันทึกรับเงินปันผลจากการถือหุ้น TKN และ WORK รวม 37 บาท
แนวโน้ม 4Q23F คาดกำไรจะดีขึ้นจากหนังไทยและหนัง Hollywood อีกหลายเรื่อง
เราคาดกำไร 4Q23F จะเพิ่มขึ้นจากหนัง Holly Wood เข้าฉายหลายเรื่อง และหนังไทยที่เป็นกระแสตอบรับดี ได้แก่เรื่อง สัปเหร่อ (5/11/23) ทำเงินได้ 656 ล้านบาท และเรื่อง ธี่หยด กระแสตอบรับดีเช่นกัน ทำรายได้ 331 ล้านบาท (MAJOR รับรู้รายได้ 70%) ซึ่งหนังไทยจะมีส่วนแบ่งรายได้มากกว่าหนังภาพยนตร์ต่างประเทศ และยังมีหนังต่างประเทศที่เข้าฉายหลายเรื่องได้แก่ The Marvels, The Hunger Games, The Creator (Fox) รวมถึงหนังไทย 4King 2 และหนังค่าย GDH หลายเรื่อง ส่งผลให้คาดรายได้สื่อโฆษณาและรายได้ธุรกิจอาหาร/เครื่องดื่มจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ชมที่กลับมาดูหนังเพิ่มมากขึ้น เราคาดผลประกอบการปีหน้ากำไรจะเติบโตต่อเนื่องจากหนังฟอร์มยักษ์ที่พร้อมเข้าฉายหลายเรื่อง และคาดการกระตุ้นของภาครัฐฯจะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยและการใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงเพิ่มขึ้น และบริษัทยังมีแผนขยายโรงหนังเพิ่มปีละ 40-50 โรง ตาม hypermarket ขยายตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น สอดคล้อง
กับแผนกลยุทธ์เพิ่มจำนวนหนังไทยเพิ่มขึ้น
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 23.20 บาท (อ้างอิงวิธี DCF, WACC 7.2%) ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER23F ที่ 19.4X ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอยู่ที่ 33X สถานะการเงินแข็งแกร่งเป็น net cash คาด Dividend Yield’23 ที่ 3.1%มากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอยู่ที่ 1.5% ความเสี่ยง : 1) เศรษฐกิจซบเซา 2) การล็อกดาวน์จากสถานการณ์ COVID-19 หากรุนแรงขึ้น