สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(31 ตุลาคม 2566)---นางสาว วรรณี จันทามงคล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) HMPRO เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี2566เท่ากับ 1,533.13 ล้านบาท ลดลง 0.20 ล้านบาท หรือ 0.01% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักดังนี้

1. รายได้รวมจำนวน 17,490.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 549.10 ล้านบาท หรือ3.24% ซึ่งประกอบไปด้วย

1.1. รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 16,390.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 493.66 ล้านบาท หรือ 3.11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำหรับการปรับตัวเพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปรและเมกาโฮมตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี2565 จนถึงช่วงไตรมาส 3 ของปี2566 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการบริโภคของภาคเอกชนและภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้

1.2. รายได้ค่าเช่า จำนวน 434.17 ล้านบาท ลดลง 6.48 ล้านบาท หรือ 1.47% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้ว มีรายได้ค่าเช่าจากการที่ได้มีการจัดงาน HomeProElectric Expo ที่ไบเทคบางนา ต่างจากปีนี้ที่ไม่ได้มีการจัดงานใหญ่ในช่วงไตรมาส 3

1.3. รายได้อื่น จำนวน 666.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.92 ล้านบาท หรือ 10.25% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

2. กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 4,378.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น118.82 ล้านบาท หรือ 2.79% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย ลดลงเล็กน้อยจาก 26.80% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.72% ซึ่งเป็นผลมาจากฐานของเปอร์เซนต์กำไรขั้นต้นในปีที่ผ่านมา ที่สูงขึ้นจากการควบรวมกิจการระหว่างโฮมโปรและเมกาโฮม

3. ต้นทุนค่าเช่า จำนวน 199.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.22 ล้านบาท หรือ 7.10% โดยมาจากต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น

4. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 3,236.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.23 ล้านบาท หรือ 3.39% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายอยู่ในระดับ 19.75% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 19.69% จากเงินเดือน ค่าไฟฟ้าและสาธารณูปโภค และ ค่าเสื่อมราคา

5. รายได้ทางการเงิน จำนวน 0.51 ล้านบาท ลดลง4.31 ล้านบาท หรือ 89.46% จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่ลดลง

6. ค่าใช้จ่ายทางการเงิน จำนวน 138.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.62 ล้านบาท หรือ 12.72% จากการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนดบางส่วนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี2565ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงบริษัทฯมีการทำสัญญาเช่าระยะยาวสำหรับสาขาใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายตามมาตรฐาน TFRS16 สูงขึ้น

7. ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จำนวน 371.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.55 ล้านบาท หรือ 10.26% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากกำไรก่อนหักภาษีที่เพิ่มขึ้น และมีรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีในไตรมาส 3 ปี2565 สูงกว่าช่วงไตรมาส 3 ในปีปัจจุบัน

8. รายได้รวมจำนวน 54,645.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,723.57 ล้านบาท หรือ7.31% ซึ่งประกอบไปด้วย

8.1. รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 51,402.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,426.42 ล้านบาท หรือ 7.14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การออกมาตรการช้อปดีมีคืนจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงไตรมาส 1 การเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าท าความเย็นในช่วงไตรมาส 2ซึ่งตรงกับฤดูร้อน รวมถึงการจัดแคมเปญ ‘เก่ามีค่า นำมาแลกใหม่’ หรือ‘Trade in’และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆทั้งช่องทางสาขาและออนไลน์ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ได้แก่ กิจกรรม HomePro Expo 2023 ในช่วงไตรมาส 1 HomePro Super Expo ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 และกิจกรรม Double Day ในทุกเดือน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปรและเมกาโฮม ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปี2565 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

8.2. รายได้ค่าเช่า จำนวน 1,374.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.48 ล้านบาท หรือ 9.43% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

8.3. รายได้อื่น จำนวน 1,867.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178.67 ล้านบาท หรือ 10.58% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

9. กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจ านวน 13,551.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น999.06 ล้านบาท หรือ 7.96% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย เพิ่มขึ้นจาก 26.16% ในปีก่อนมาอยู่ที่ 26.36% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงและการได้รับส่วนลดจากคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงขึ้นตามฤดูกาลในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

10. ต้นทุนค่าเช่า จำนวน 593.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.88 ล้านบาท หรือ 14.67% โดยมาจากต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น

11. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 9,895.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 865.46 ล้านบาท หรือ 9.58% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายอยู่ในระดับ 19.25% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 18.82% จากค่าไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาใหม่ของโฮมโปร จ านวน 1 สาขา และ เมกาโฮม จำนวน 7 สาขา

12. รายได้ทางการเงิน จำนวน 14.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.08 ล้านบาท หรือ 71.54% จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น

13. ค่าใช้จ่ายทางการเงิน จำนวน 401.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.68 ล้านบาท หรือ 27.52% จากการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อชำระหนี้ที่ครบกำหนดบางส่วนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี2565ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงบริษัทฯมีการทำสัญญาเช่าระยะยาวสำหรับสาขาใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายตามมาตรฐาน TFRS16 สูงขึ้น

14. ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จำนวน 1,152.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.12 ล้านบาท หรือ 6.78% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากกำไรก่อนหักภาษีที่เพิ่มขึ้น

สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่3 นี้ บริษัทฯ มีการเปิดสาขาโฮมโปรใหม่จำนวน 1 สาขา ได้แก่สาขา ซีคอน บางแค และมีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ จำนวน 1 สาขา ได้แก่ สาขา ปลวกแดง จังหวัดระยอง

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี2566 บริษัทฯ มีโฮมโปร 87 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 25 สาขา และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา