
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(16 ตุลาคม 2566)------“ORN” แต่งตั้ง บล.ฟิลลิป (PST) พร้อมด้วย บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (UOBKH) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriter) ผนึกบริษัทหลักทรัพย์อีก 5 แห่ง ร่วมจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอ ราคาหุ้นละ 1.49 บาท จำนวน 406.50 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-20 ต.ค. 66 เตรียมเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET)

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า ORN ได้ ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วมของหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
นายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้เป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 406.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วน 27.10% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือ SET เสริมศักยภาพและสร้างโอกาสในการเติบโตในอนาคต
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วมของ ORN เปิดเผยว่า สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ของ ORN ในครั้งนี้จำนวน 406.50 ล้านหุ้น ได้กำหนดราคาหุ้นที่จะเสนอขายให้นักลงทุนในราคาหุ้นละ 1.49 บาท โดยกำหนดเปิดให้นักลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 18-20 ตุลาคม 2566 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ SET วันที่ 30 ตุลาคม 2566 ในหมวดธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์-PROP ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายคือ “ORN” ซึ่งการกำหนดราคาไอพีโอเป็นราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน คาดว่า ORN จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และมีความพร้อมในการขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต
นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม กล่าวเสริมว่า มั่นใจว่าหุ้น ORN จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยจุดเด่นของ ORN มีรูปแบบโครงการที่หลากหลาย บนทำเลศักยภาพที่ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งจังหวัดเชียงใหม่มีความพร้อมในด้านสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานศึกษานานาชาติ โรงพยาบาล ถนนเชื่อมเมืองสายหลัก และหน่วยงานราชการ ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ ทั้งที่เป็นลูกค้าชาวไทยและลูกค้าชาวต่างชาติ นอกจากนี้ บริษัทมีที่ดินรอพัฒนาอีกมาก ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต
นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN กล่าวว่า ORN ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) ที่มีธุรกิจหลักคือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเภทโครงการแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และโครงการแนวสูง ได้แก่ คอนโดมิเนียมแนวราบ (Low rise) และคอนโดมิเนียมแนวสูง (High rise) ซึ่งมีประสบการณ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มานานกว่า 17 ปี โดยเป็นประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 กลุ่มบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 18 โครงการ มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 15,447 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์สินค้า ได้แก่ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT
ภายหลังจากการระดมทุน บริษัทมีแผนที่จะนำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินเปล่าในทำเลที่มีศักยภาพ และนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประเภทที่อยู่อาศัย รวมถึงใช้เป็นเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของกลุ่มบริษัท มั่นใจว่า ORN จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม

ยัสปาล เตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 156 ล้านหุ้น หลังสำนักงาน ก.ล.ต.นับ 1 แบบไฟลิ่ง เดินหน้าระดมทุนรับแผนขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน
บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) (ยัสปาล กรุ๊ป หรือ JPC) เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น หลังสำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อย ชูความเชี่ยวขาญทั้งในอุตสาหกรรมแฟชั่นและอุตสาหกรรมที่นอนและเครื่องนอนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และพอร์ตโฟลิโอแบรนด์สินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและช่องทางขายหลากหลายครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย เสริมศักยภาพการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตอกย้ำเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ของภูมิภาคอาเซียน
นายจรัญ สิงห์สัจจเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัสปาล จำกัด (มหาชน) (ยัสปาล กรุ๊ป หรือ JPC) เปิดเผยว่า ยัสปาล กรุ๊ป มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจแฟชั่นมามากว่า 75 ปี ด้วยทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเข้าใจทั้งในอุตสาหกรรมแฟชั่นและอุตสาหกรรมที่นอนและเครื่องนอนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเข้าใจเทรนด์การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ด้วยวิสัยทัศน์ “หนึ่งในผู้นำธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ เพื่อนำความสุขที่ยิ่งใหญ่มาสู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก” ผ่านการดำเนินงานใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก สินค้าแฟชั่นและสินค้าไฟล์สไตล์อื่น ๆ (กลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่น) และกลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอนและเครื่องนอน ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ (ธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน) ที่ดำเนินงานภายใต้บริษัท ยัสปาล แอนด์ ซันส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยมีแบรนด์สินค้าที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ (In-house Brand) และแบรนด์ที่บริษัทฯ ได้รับสิทธิ์ให้ผลิตและเป็นตัวแทนจำหน่าย ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ หรือได้รับสัญญาแฟรนไชส์ (Import Brand) รวมกันกว่า 27 แบรนด์ชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์ด้วยคุณภาพ และมาตรฐานระดับสากล สร้างการยอมรับจากลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
บมจ. ยัสปาล เป็นบริษัทสัญชาติไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 1 ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและรองเท้าเฉพาะอย่างของประเทศไทย (อ้างอิงจาก Euromonitor International) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดปี 2563-2565 ร้อยละ 8.4 ร้อยละ 10.0 และร้อยละ 10.5 ตามลำดับ แสดงถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีแบรนด์พอร์ตโฟลิโอหลากหลาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอกย้ำถึงประสบการณ์และความเข้าใจเทรนด์ของอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างทั้งด้านความชอบ ไลฟ์สไตล์และรายได้ โดยมีแบรนด์หลัก ได้แก่ JASPAL (ยัสปาล), CC DOUBLE O (ซีซี ดับเบิ้ลโอ), CPS CHAPS (ซีพีเอส แชปส์), LYN (ลิน), lyn around (ลิน อะราวนด์) เป็นต้น รวมถึงมี Import Brand ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทำให้บริษัทฯ นำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ได้ดียิ่งขึ้น เช่น FRED PERRY (เฟร็ด เพอร์รี่), DIESEL (ดีเซล), Superdry (ซุปเปอร์ดราย) เป็นต้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน ภายใต้ In-house Brand และ Import Brand รวม 6 แบรนด์ ได้แก่ SANTAS, SANTAS HOME, STEVENS, Sealy, TEMPUR และ ETHAN ALLEN
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ผ่านช่องทางจำหน่ายสาขาหน้าร้านและจุดจำหน่ายภายในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าและศูนย์ค้าปลีกชั้นนำทั่วประเทศ รวม 977 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่น ยังมีการจำหน่ายเพิ่มเติมผ่านทางออนไลน์ทางเว็บไซต์กลุ่มบริษัทฯ และแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ต่าง ๆ (Marketplace) และกลุ่มธุรกิจที่นอนและเครื่องนอนยังมีการจำหน่ายเพิ่มเติมผ่านการขายงานโครงการและส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JPC กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ มุ่งนำประสบการณ์และความเข้าใจในอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขันในทุกด้าน เพื่อผลักดัน JPC ไปสู่หนึ่งในผู้นำธุรกิจสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ของภูมิภาคอาเซียน จากแผนขับเคลื่อนธุรกิจโดยใช้ Big Data จากฐานข้อมูลการขายสินค้าและศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อวางแผนพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ ๆ การขยายสาขาและจุดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้นำระบบเทคโนโลยีมาใช้เพื่อบริหารสินค้าคงคลัง เพิ่มประสิทธิความแม่นยำในการบริหารและจัดสรรสินค้าไปยังจุดจำหน่ายที่เหมาะสม ลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าที่ไม่จำเป็น ส่งผลให้อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563-2565) ดีขึ้นต่อเนื่อง หรืออยู่ที่ 1.6, 1.7 และ 2.0 เท่า ตามลำดับ ส่งผลให้ บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 50.76 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ใกล้เคียงกับบริษัทระดับโลกในอุตสาหกรรมผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นอีกด้วย
ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563-2565) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 8,303.2 ล้านบาท 8,276.4 ล้านบาท และ 11,491.34 ล้านบาท ตามลำดับ โดยธุรกิจสินค้าแฟชั่นคิดเป็นสัดส่วน 82.5%, 82.0% และ 83.3% ของรายได้จากการขาย ซึ่งมาจาก In-house Brand 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ JASPAL (ยัสปาล), CC DOUBLE O (ซีซี ดับเบิ้ลโอ), CPS CHAPS (ซีพีเอส แชปส์), LYN (ลิน), lyn around (ลิน อะราวนด์) ขณะที่ธุรกิจที่นอนและเครื่องนอนทำสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 17.5%, 18.0% และ 16.7% ตามลำดับ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจาก Import Brand
ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 (ม.ค. - มิ.ย. 66) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 6,083.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% และกำไรขั้นต้น 3,088.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังการบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจสินค้าแฟชั่น คิดเป็น 85.1% ของรายได้จากการขาย ขณะที่ธุรกิจที่นอนและเครื่องนอนทำสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 14.9%
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ. ยัสปาล หรือ JPC ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น คิดสัดส่วนไม่เกิน 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับ 1 แบบไฟลิ่งแล้ว โดย JPC มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ลงทุนขยาย และ/หรือ ปรับปรุงสาขาและจุดจำหน่ายสินค้า รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ของกลุ่มบริษัทฯ ต่อไป
////จบ////