บล. ทิสโก้ จับมือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จัดงาน Thailand Focus ปีนี้ ด้านล่างนี้ เราจะแบ่งปันประเด็นที่น่าสนใจที่สุดบางส่วนจากการสัมมนาในวันแรก

1. ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทย ชี้แจงว่า การฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ไม่สม่ำเสมอ ในส่วนของนโยบายการเงิน ผู้ว่าการฯ ย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ที่ประมาณอัตราดอกเบี้ยเป็นกลาง (r*) ในบริบทปัจจุบัน อัตรานโยบายที่แท้จริงที่ไม่ติดลบมีความเหมาะสม ซึ่งความเห็นของผู้ว่าคือ ในการประมาณอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงควรคำนึงถึงแนวโน้มมากกว่าตัวเลขในอดีต ในเรื่องนี้แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดจะดูอ่อนแอ (เช่นเดียวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ) แต่ปัจจัยกดดันยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายที่คาดการณ์ไว้จากรัฐบาลชุดใหม่ ผู้ว่าฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น โดยตั้งเป้าลดลงจาก 90% ในปัจจุบันเหลือ 80% และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เช่น การแปลงหนี้ถาวรเป็นสินเชื่อผ่อนชำระรายเดือน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง และการกำหนดอัตราส่วนการชำระหนี้สูงสุด ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะติดตามระดับหนี้อย่างใกล้ชิด และจะปรับมาตรการให้เหมาะสม

2. อีกคณะหารือถึงแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาแย้งว่า แม้จะมีความท้าทายต่างๆ มากมาย แต่เศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง ขณะนี้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว และเราเห็นการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และเขายังคงเชื่อในเรื่องราวการเติบโตของ 'อาเซียนทางเลือกแทนจีนและอินเดีย' ซึ่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และการมีนายกรัฐมนตรีที่ใส่ใจธุรกิจมากขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ในขณะเดียวกัน ผู้ร่วมอภิปรายคนอื่นๆ จากอุตสาหกรรมฝั่งซื้อระบุว่า ยังมีประเด็นอีกมากมายที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างช่องทางที่เหมาะสมสำหรับการรายงานการกระทำผิดปกติในตลาด ผู้ร่วมอภิปรายบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า SET อาจผ่านจุดสำคัญไปแล้ว และกลายเป็นการซื้อแบบเจาะจงมากกว่าการซื้อดัชนี

3. การท่องเที่ยวยังคงเป็นกลไกสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะกลาง เราได้ดำเนินการอภิปรายหารือเกี่ยวกับแนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยกับผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวแทนจากท่าอากาศยานไทย (AOT) อย่างไรก็ตาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BDMS Wellness Clinic และผู้กำหนดนโยบายที่กำกับดูแลการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดย AOT ยืนยันว่าโครงสร้างพื้นฐานสนามบินในปัจจุบันซึ่งนำโดยสนามบินกรุงเทพฯ/ดอนเมือง สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ 60-70 ล้านคนต่อปี ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่น่าจะมีปัญหาในด้านอุปทาน อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของ AOT เห็นพ้องว่าอุตสาหกรรมยังคงจำเป็นต้องอัพเกรด/ลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสนามบินจังหวัดและโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้อง (เช่น ระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมต่อสนามบินกับเมือง) ในด้านอุปสงค์ BDMS มองว่าภาคส่วนด้านสุขภาพเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการท่องเที่ยวขาเข้าในอนาคต และเชื่อว่าประเทศไทยเป็นเพียงการเริ่มต้นของภาคส่วนนี้เท่านั้น ซึ่งผู้บริหารของ BDMS ยกตัวอย่างการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์สุขภาพสำหรับผู้ป่วยในตะวันออกกลาง การมุ่งเน้นไปที่ส่วนนี้จะช่วยไม่เพียงแต่ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาคบริการอื่นๆ ด้วย (เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง ฯลฯ) ผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้เปิดตัวโครงการ เพื่อรับรองโรงแรมไทยเพื่อความยั่งยืน และเชื่อว่าสิ่งนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ยินดีจ่ายเบี้ยประกันภัยเพื่อเข้าพักในโรงแรมที่ได้รับการจัดอันดับเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะต้องกำหนดนโยบายที่เหมาะสมโดยเน้นที่จำนวนนักท่องเที่ยว คุณภาพนักท่องเที่ยว หรือทั้งสองอย่าง และสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมโดยรอบ หากประเทศไทยประสบความสำเร็จในแนวนี้ก็จะช่วยเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า โดยกลยุทธ์นี้ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นในแง่ของการจัดการกับผลกระทบด้านลบต่อสังคม/สิ่งแวดล้อม