HotNews: TASCO วางเป้ายอดขายปี61ที่ 1.9-2 ล้านตัน
โบรกฯ ส่องกำไรโต 11%
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 20 กุมภาพันธ์ 2561)-------- TASCO ตั้งเป้ายอดขายยางมะตอยปีนี้ที่ 1.9-2 ล้านตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.9 ล้านตัน พร้อมวางงบลงทุน 1.37 พันลบ. ขยายคลังยางมะตอย-ขยายกำลังการผลิตเพิ่ม โบรกฯ ส่องกำไรโต 11% แม้เผชิญปัญหาชัพพลายน้ำมันดิบหนักจากเวเนซุเอลายังมีปัญหาไม่สม่ำเสมอ แต่ความต้องการยางมะตอยที่สูงทั้งในภูมิภาคและไทย
นายชัยวัฒน์ ศรีวรรณวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO เปิดเผยว่าในปี 2561บริษัทตั้งเป้ายอดขายยางมะตอยรวมที่ 1.9-2 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 1.9 ล้านตัน โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศราว 5 แสนตัน โดยความต้องการใช้ยางมะตอยในประเทศที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากงบประมาณภาครัฐบาลประจำปีที่แข็งแกร่ง รอลุ้นงบประมาณเพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีการอนุมัติจะทำให้มีปริมาณยางมะตอยเกรดพิเศษเพิ่มขึ้น 80,000 - 100,000 ตันสำหรับทั้งตลาด โดยจะส่งผลดีทั้งในแง่ยอดขายและอัตรากำไรขึ้นต้นที่สูงขึ้น
ด้านตลาดต่างประเทศ บริษัทคาดว่าจะได้รับน้ำมันดิบในการผลิตยางมะตอยที่โรงกลั่นประมาณ 10 Shipments เนื่องจากมีแผนในการปิดโรงกลั่นในประเทศมาเลเซียราว 5 สัปดาห์ สำหรับการทำ Turn around maintenance ที่ต้องทำทุกๆ 3 ปี โดยในครั้งนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม - 10 เมษายนนี้ และสถานการณ์การขนส่งน้ำมันดิบในเวเนซูเอลาร์ที่ยังอาจมีความไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการรับมือโดยการเซ็นสัญญาระยะยาวซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นต่างๆ ในประเทศสิงคโปร์ จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ รวมประมาณ 1.2 แสนตันเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดหายไป รวมถึงมีแผนสำรองในการหาน้ำมันดิบจากประเทศแถบอเมริกาใต้ได้แก่ บราซิล โคลัมเบียและเอกวาดอร์ เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/2561 จะเริ่มเห็นความชัดเจน อุปสงค์ในภูมิภาคจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย โดย TASCO ได้โปรเจกต์สนามบินจาร์กาต้า ประเทศอินโดนีเซีย มาแล้ว
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนในต่างประเทศ โรงงานในประเทศมาเลเซียที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวหรือ 1.2 ล้านตันเป็น 2.4 ล้านตัน บริษัทคาดว่าจะสรุปแผนได้ภายในไตรมาส3/61 นี้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะแล้วได้ภายใน 3ปี ทั้งนี้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน
สำหรับงบลงทุนในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ราว 1.37 พันล้านบาท โดยใช้ในการขยายคลังยางมะตอยในประเทศมาเลเซีย 3.5 แสนบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านบาร์เรล และคลังยางมะตอยประเทศ ฟิลิปปินส์อีก 8 พันตัน นอกจากนี้โรงงานในประเทศลาวบริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่ม จากปัจจุบันอยู่ที่ 20 ตัน/ชั่วโมง
"ราคายางมะตอยในปีนี้เราคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบในประเทศเกาหลีใต้จะมีการปิดปรับปรุงโรงงานจึงส่งให้ความต้องการกับซัพพลายไม่ได้มีการสอดคล้อง จากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ซัพพลายมีปริมาญที่ลดลง เราจึงประเมินว่าราคายางมะตอยมีทิศทางที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยในปัจจุบันราคายางมะตอยในประเทศอยู่ที่ 1.3 หมื่นบาท/ตัน และในต่างประเทศอยู่ที่ 320 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ” นายชัยวัฒน์ กล่าว
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ ของ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปัญหาชัพพลายน้ำมันดิบหนักจากเวเนซุเอลายังมีปัญหาไม่สม่ำเสมอ ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องในปี 2561 แต่ปริมาณขายคาดจะใกล้ปีก่อน ในขณะที่ความต้องการยางมะตอยที่สูงทั้งในภูมิภาคและไทย บวกชัพพลายขาด ทำให้ราคายางมะตอยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เราปรับประมาณการกำไรลดลง แต่กำไรในปีนี้คาดจะยังเติบโตได้ เราปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 22 บาท บนฐาน P/E + 1SD = 12.2 เท่า จาก 25 บาท เราลดเกรดคำแนะนำลงเหลือ ถือ จาก TRADING BUY เพื่อรอดูปัจจัยทั้งลบและบวก
น้ำมันดิบยังมีปัญหาไม่สม่ำเสมอ แต่ตั้งเป้ายอดขายใกล้ปีก่อน 1.9-2 ล้านตัน
ปัญหาชัพพลายน้ำมันดิบหนักจากเวเนซุเอลายังมีปัญหาไม่สม่ำเสมอ ทำให้คาดหมายปริมาณ Shipment น้ำมันดิบหนักปีนี้จะลดลงจาก 12 Shipment เหลือ 10 Shipment หรือ คิดเป็นยางมะตอยที่จะหายไป 160,000 ตัน ในขณะที่ TASCO ตั้งเป้าหมายปริมาณขายในปี 2561 จะใกล้ปีก่อน คือ 1.9-2 ล้านตัน TASCO ได้แก้ปัญหา โดย 1.) ได้ทำสัญญาระยะยาวซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นในภูมิภาคนี้ได้แล้ว 120,000 ตัน 2.) กำลังติดต่อซื้อน้ำมันดิบหนักจากแหล่งอื่น คือ โคลัมเบีย และ เอกวาดอร์ จำนวน 4 Shipment มาทดสอบผลิต และ ทดแทนส่วนที่หายไป 2 Shipment
ความต้องการยางมะตอยในภูมิภาคนี้ และ เอเชียเหนือ ปีนี้มีแนวโน้มจะสูง ส่วนชัพพลายปีนี้จะหายไป 1 ล้านตัน ซึ่งจะเห็นได้จากราคายางมะตอยในปัจจุบันแม้จะเป็นช่วงโลซีซั่น แต่ยังอยู่ในระดับสูง 325 เหรียญ/ตัน ไม่ปรับลดลง และ TASCO ยังได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มโครงการลาดยางสนามบินในอินโดนีเซีย สำหรับความต้องการในประเทศปีนี้คาดหมายจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมจะจัดสรรงบประมาณพิเศษยางพาราผสมยางมะตอย 10,000 ล้านบาท ประมาณไตรมาสสองนี้ หรือ ใช้ยางมะตอยประมาณ 80,000-100,000 ตัน โดย TASCO มีส่วนแบ่งตลาดยางมะตอยเกรดนี้ประมาณ 60% เทียบกับยอดขายในประเทศของ TASCO ปีก่อน 490,000 ตัน ปกติแล้วตลาดในประเทศจะเป็นตลาดที่ TASCO มีกำไรดี และ มีสัดส่วนกำไร 50-70% แม้ว่าจะมีสัดส่วนปริมาณขายเพียง 26% ปัจจุบัน TASCO ต้องนำเข้ายางมะตอยจากต่างประเทศเข้ามาประมาณเดือนละ 2 หมื่นตัน เพราะเกิดภาวะขาดแคลนในประเทศ
จากปัญหาชัพพลายน้ำมันดิบไม่สม่ำเสมอ ทำให้เราปรับประมาณการกำไรลง แต่ผลประกอบการในปี 2561 คาดจะยังเติบโตได้ เราประเมินกำไรปี 2561 เท่ากับ 2,826 ล้านบาท ยังเติบโตได้ 11% หลักๆมาจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น และ ได้แรงหนุนจากตลาดในประเทศที่มีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้น
สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า TASCO รายงานผลประกอบการ 4Q17 ชะลอลง YoY หลังจากที่ประสบความล่าช้าในการขนส่งวัตถุดิบ โดยก่อนหน้านี้เรามองว่าจะเป็นปัญหาชั่วคราว แต่ปัญหากลับยาวนานกว่าคาด และกดดันการเติบโตของรายได้และผลประกอบการ แม้ว่าอุปสงค์ในภูมิภาคจะแข็งแกร่งก็ตาม โดยเฉพาะจากจีนและเวียดนาม ในขณะที่การปิดโรงงานของ S Oil และ Hyundai กดดันอุปทานในภูมิภาค เราปรับประมาณการลงเพื่อสะท้อนยอดขายที่ลดลง แนะนำเพียง "ถือ"
TASCO รายงานกำไรจากการดำเนินงาน 462 ล้านบาท ลดลง 51% YoY แต่เพิ่มขึ้น 45% QoQ โดยผลประกอบการที่ลดลง YoY เนื่องมาจาก 1) ยอดขายที่ลดลง 28% จากยอดขายในประเทศและต่างประเทศ และ 2) อัตรากำไรที่ลดลงจาก 23% เป็น 11.4% ด้านผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น QoQ มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 11% จากอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังเริ่มปีงบประมาณ FY2018 แต่การส่งออกยังอ่อนแอ เนื่องจากปัญหาด้านการขนส่งวัตถุดิบ
ปัญหาการขนส่งน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลายังเป็นปัญหาหลักในปีนี้ และ TASCO จะมีการปิดการผลิตเป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์นับจากวันที่ 1 มี.ค. ทำให้เรามองว่ายอดขาย 1Q18 จะลดลง QoQ เนื่องมาจากยอดขายที่ลดลง และจากปัญหาด้านอุปทานทำให้ TASCO ปรับเป้าการผลิตในปี 2018 ลงเป็น 1.9 - 2 ล้านตัน คงที่ YoY แม้ว่าอุปสงค์ในภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นจากจีนและเวียดนามก็ตาม ในขณะที่กำลังการผลิตในภูมิภาคจะลดลง 1 mtpa จากการปิดของ S Oil และ Hyundai โดย TASCO จะมีการเปลี่ยนแหล่งการนำเข้าเป็นบราซิลและโคลัมเบียแทน ซึ่งหากสำเร็จจะช่วยหนุนการผลิตของโรงกลั่น ด้านอุปสงค์ภายในประเทศจะได้ประโยชน์จากงบ 1 หมื่นล้านบาท ในการอุดหนุนราคายาง ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ของ Para AC/Para Slurry Seal (ผลิตภัณฑ์แบบพรีเมี่ยม) เพิ่มขึ้นราว 8 หมื่น - 1 แสนตัน อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตในภูมิภาคที่ลดลงจะเป็นปัจจัยหนุนอัตรากำไรในปีนี้
เราแนะนำให้ "ถือ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 22.70 บาท
เราปรับประมาณการปี 2018-19F ลง 8.7% และ 8.5% เพื่อสะท้อนยอดขายที่ลดลงจากปัญหาด้านวัตถุดิบ โดยเราปรับมูลค่าที่เหมาะสมจากเดิม PER 12 เท่าสำหรับปี 2018F เป็น 13.2 เท่า ทำให้มูลค่าที่เหมาะสมลดลงจาก 22.80 บาท เป็น 22.70 บาท เนื่องจากอัพไซด์ที่จำกัด เราจึงแนะนำ "ถือ" โดยมีความเสี่ยงคือ 1) อุปสงค์ภายในประเทศ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 2) ราคาน้ำมันดิบที่ผันผวน และ 3) กำลังการผลิตในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า การขนส่งวัตถุดิบจากเวเนซูเอลายังไม่ราบรื่น โดยบริษัทคาดว่าปี 61 จะได้รับวัตถุดิบจากเวเนซูเอลา 10 shipments จากปกติที่ได้รับ 12 shipments ซึ่งส่วนที่หายไปทำให้ผลิตยางมะตอยได้น้อยลง 1.2 แสนตัน
จาก Supply วัตถุดิบที่ตึงตัว ทำให้ปริมาณขายปี 61 จะเป็นแค่ทรงตัวที่ประมาณ 1.9 ถึง 2 ล้านตันปริมาณขายในประเทศปีนี้จะดีชึ้นจากงบประมาณทำถนนเพิ่ม 1 หมื่นล้านบาท
ราคาขายในภูมิภาคมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการที่โรงกลั่นยางมะตอย S-oil และ Hyundai ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ในเกาหลีใต้ปิดเพื่อ Upgrade โรงงาน ทำให้ Supply จะหายไปราว 1 ล้านตันในปี 61(คิดเป็น 22% ของปริมาณนำเข้าจากจีน ซึ่งนำเข้าปีละประมาณ 4.5 ล้านตันจากเกาหลีใต้)
ราคายางมะตอยในประเทศปัจจุบันอยู่ที่ 435 ดอลลาร์/ตัน ราคาในภูมิภาค 325 ดอลลาร์/ตัน
ยังคงคำแนะนำในเชิงลบคือ เต็มมูลค่า (Fully Valued) สำหรับหุ้น TASCO เพราะคาดว่าปีนี้ปริมาณขายจะโตจำกัด และบริษัทจะมีปิดซ่อมบำรุงโรงงาน 45 วันในช่วง 1H61 ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 17.00 บาท ด้วย P/E ปี 61 ที่ 10 เท่า ด้านปัจจัยที่อาจจะทำให้ดีกว่าคาด (Upside risk) คือ ราคายางมะตอยในต่างประเทศปรับขึ้นมากกว่าคาด
----จบ---