
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(18กรกฎาคม 2566)-------ก.ล.ต. นับ 1 ไฟลิ่ง พร้อมอนุมัติแบบคำขอ บมจ. มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MGI เจ้าของเวทีประกวดนางงามก้องโลก “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์” และ “มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล” พร้อมขายไอพีโอ 60 ล้านหุ้น ระดมทุนต่อยอดธุรกิจนางงาม การจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจสื่อและบันเทิง บริหารศิลปิน และพัฒนาระบบไอที สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน คาดเข้าจดทะเบียนใน mai ภายในปี 2566
นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI เปิดเผยว่า เราพร้อมเดินหน้าสู่การเป็นบริษัทมหาชน ด้วยเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการประกวดนางงามทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ ให้เป็นเวทีนางงามที่ได้รับกระแสนิยมมากที่สุด ภายใต้สโลแกน “นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์” ทำให้มีผู้คนติดตามและมีส่วนร่วม (Engagement) ในประสบการณ์ จากแบรนด์ของบริษัท ในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจของบริษัทที่เกี่ยวข้องทุกสายงาน รวมทั้งส่งมอบสินค้าและบริการแก่ลูกค้าให้ประทับใจที่สุด พร้อมพัฒนาและเสริมสร้างการเรียนรู้ให้แก่บุคลากรอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนการระดมทุนในครั้งนี้ MGI มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ลงทุนซื้ออาคารและดำเนินการปรับปรุงเพื่อเป็นอาคารสำนักงานใหม่, 2. ลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้า และผลิตรายการ เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ในทุกช่องทาง, 3. ลงทุนพัฒนาขีดความสามารถของระบบสารสนเทศ (Information Technology) และ 4. เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
โดย MGI ดำเนินธุรกิจบริหารการจัดการประกวดนางงาม “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์” และ “มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล” และการบริหารจัดการศิลปินและการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยธุรกิจของบริษัทสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) เป็นธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งสินค้าที่อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ได้แก่ Miss Grand MGI และ NangNgam รวมถึงจัดจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้อยู่ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ในสัดส่วน 75:25 โดยมีสินค้าประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผิวกาย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอม กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ และกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริม
2. ธุรกิจประกวดนางงามมิสแกรนด์ (Pageant) ซึ่งเป็นธุรกิจจัดประกวดนางงามทั้งระดับในประเทศและระดับต่างประเทศ โดยบริษัทดำเนินการจัดประกวดนางงามในประเทศ เพื่อค้นหาผู้หญิงไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เหมาะสม เพื่อมาดำรงตำแหน่ง มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ (Miss Grand Thailand หรือ MGT) โดยจะขายลิขสิทธิ์การประกวดนางงามระดับจังหวัดทั้ง 77 จังหวัดในแต่ละปีให้กับผู้ได้รับสิทธิ์การประกวดระดับจังหวัด (Provincial Director : PD) และ PD จะทำหน้าที่จัดประกวดเพื่อคัดเลือกนางงามมิสแกรนด์จังหวัดเข้าประกวด มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ ต่อไป หลังจากนั้นบริษัทจะส่งผู้ชนะการประกวด MGT เข้าประกวด MGI ซึ่งเป็นเวทีระดับนานาชาติต่อไป
3. ธุรกิจสื่อและบันเทิง (Media and X-Periences) โดยในส่วนธุรกิจสื่อ เป็นธุรกิจซื้อมาจำหน่ายไปเวลาออกอากาศ (Airtime) รายการที่มีชื่อเสียงตามสื่อโทรทัศน์ ได้แก่ รายการทูเดย์โชว์ ครัวคุณต๋อย เพชรรามา เป็นต้น ส่วนธุรกิจบันเทิง เป็นธุรกิจจัดกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับกลุ่มลูกค้าได้มีส่วนร่วมกับนางงามและศิลปินของบริษัท เช่น การจัดคอนเสิร์ตอิงฟ้ามหาชน, MGT x ระเบียบวาทศิลป์, Meet & Greet เป็นต้น และยังมีรายการบันเทิงในลักษณะการทำ Content เบื้องหลังงานกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทในลักษณะเป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ โดยทีมงานที่เป็นพนักงานของบริษัทถ่ายทอดลงในช่อง Grand TV บน YouTube เพื่อสร้างความสนใจให้กับลูกค้า
4. ธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน (Talent) เป็นธุรกิจสืบเนื่องจากการประกวดนางงาม มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ และ มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยบริษัทจะทำสัญญากับผู้ชนะการประกวด มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ ผู้ได้อันดับรองลงมาในการประกวด มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ และผู้ชนะ มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นศิลปินในสังกัดของบริษัท เพื่อปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายตามที่บริษัทจัดหางานมาให้ ได้แก่ งานรีวิวสินค้า งานพิธีกร งานโชว์ตัว งานเดินแบบ งานแสดงภาพยนตร์ เป็นต้น
สำหรับผลประกอบการในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 319.86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 47.85 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการช่วงไตรมาส 1/2566 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2566) บริษัทมีรายได้รวม 83.13 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวม 42.24 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 7.66 ล้านบาท จาก 1/2565 มีกำไรสุทธิ 3.60 ล้านบาท
ด้าน นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่ง MGI เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้รับอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์ ไฟเขียวเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในหมวดธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ภายในปี 2566 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้บริษัทฯ และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ปัจจุบัน MGI มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้ว 75 ล้านบาท โครงสร้างผู้ถือหุ้นประกอบด้วย 1. นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 60% และ 42.86% ตามลำดับ, 2. นายรัชพล จันทรทิม สัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ 39.99% และ 28.56% ตามลำดับ และ 3. นางพรพรรณ จุลเจือ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ <0.01% และ <0.01% ตามลำดับ
ชู จุดเด่นมิสแกรนด์มีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ สามารถเข้าสู่ระบบลิขสิทธิ์ตัวแทน 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเวทีการประกวดแรกในประเทศไทยที่ดำเนินการจัดการในรูปแบบนี้ รวมทั้ง เครือข่ายนางงามที่ส่งเข้าประกวดในระดับนานาชาติ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การขยายตลาดสร้างความยั่งยืน และต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เป็นโอกาสมากขึ้น
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

ก.ล.ต. อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้น COCOCO จำนวน 370 ล้านหุ้น พร้อมเดินหน้าเข้า SET มุ่งสู่ผู้นำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่
สำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติแบบคำขอให้เสนอขายหุ้น IPO บมจ.ไทย โคโคนัท หรือ COCOCO จำนวนไม่เกิน 370 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) "ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว" บอสใหญ่ ย้ำแผนระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่าย ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของไทย ด้าน "เสกสรรค์ ธโนปจัย" ซีอีโอ ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเผย เตรียมเดินสายโรดโชว์ให้ข้อมูลนักลงทุนทั่วประเทศเร็วๆ นี้
ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ผู้ผลิตและจำหน่าย ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 370 ล้านหุ้น เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2566
โดยหุ้น IPO ของ COCOCO จำนวน 370 ล้านหุ้น มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ในหมวดธุรกิจ (Sector) อาหารและเครื่องดื่ม ภายในปี 2566
สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อ 1. ใช้ขยายกำลังการผลิต ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว (COCOCO) โดยซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อผลิตน้ำมะพร้าว เพื่อขยายกำลังผลิตน้ำมะพร้าวจากประมาณ 110,000 ตัน/ปี เป็น 218,000 ตัน/ปี รวมถึงขยายคลังสินค้าเพื่อรองรับการจัดเก็บผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว, 2. ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายประเภทสินค้าในผลิตภัณฑ์ขนมกินเล่นของสุนัขและแมว, 3. ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายประเภทสินค้าในไอศกรีม, 4. ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และ 5. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ (Working Capital) สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ SET ของ COCOCO ในครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งการระดมทุนครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดความสำเร็จของ COCOCO ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำผู้ผลิตและจำหน่าย ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวและผลไม้รายใหญ่ของไทย" ดร.วรวัฒน์ กล่าว
นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ภายหลัง ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนเป็นที่เรียบร้อย COCOCO พร้อมจะเดินสายนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (โรดโชว์) ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานครในเร็วๆ นี้
โดย COCOCO เป็นบริษัทฯ ที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 3 ปีย้อนหลังปี 2563-2565 พบว่าบริษัทฯ มีรายได้รวม 3,036.33 ล้านบาท 3,481.71 ล้านบาท และ 3,381.16 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 69.46 ล้านบาท 241.88 ล้านบาท และ 302.22 ล้านบาท ตามลำดับ และมีอัตรากำไรสุทธิ 2.29%, 6.95% และ 8.94% ตามลำดับ และในช่วงไตรมาส 1/2566 (ม.ค.-มี.ค.2566) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 859.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.36% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 มีรายได้อยู่ที่ 839.42 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 66.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 61.63 ล้านบาท สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
///จบ///