สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(13กรกฎาคม 2566)-----นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) KCC เปิดเผยว่า บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ จำกัด (มหาชน) KCCที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯคร้ังที่4/2566 ประชุมเมื่อวันที่ 12กรกฎาคม 2566ได้มีมติสำคัญ ดังนี้
1. มีมติอนุมัติแต่งตั้งนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ให้เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท (รวมทั้งเป็นกรรมการอิสระ และกรรมการสรรหา กำหนดค่าตอบแทน และกำกับดูแลกิจการ)แทน นายประสบโชค อรัณยกานนท์ กรรมการซึ่งได้ลาออกไป โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการที่ลาออกไป และให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่12 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
2. มีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทฯ (“แผนปรับโครงสร้างฯ”) และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ สำหรับแผนปรับโครงสร้างฯดังต่อไปนี้
2.1อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่1/2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนปรับโครงสร้างฯและการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยภายใต้แผนการปรับโครงสร้างฯ บริษัทฯ จะดำเนินการให้มีการจัดตั้งบริษัท มหาชน จำกัด ที่ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ภายใต้ชื่อ
“บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)” (Knight Club Capital Holding PublicCompany Limited) (“บริษัทโฮลดิ้ง”) เพื่อทำคำเสนอซื้อหลัก ทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ฯ จากผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ โดยบริษัทโฮลดิ้ง จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท โฮลดิ้ง และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพยข์องบริษัท โฮลดิ้งเสร็จสิ้น หุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้ง จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)แทนหุ้นสามัญของบริษัทฯ ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็ นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันเดียวกัน
ทั้งนี้การปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัท ฯ มีวตัถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) เพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ และลดข้อจำกัดด้านการลงทุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทฯ และเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
2) เพื่อให้สามารถแบ่งแยกขอบเขตการบริหารธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์เดิมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ
3) เพื่อให้สามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้แต่ละธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีให้กับกลุ่มบริษัทในอนาคต
4) เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจเนื่องจากแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขอบเขต หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละสายงานได้อย่างชัดเจน