แนวโน้มกำไรปกติยังดี
Key Point :
2Q66 คาดกำไรปกติจะฟื้นตัว q-q, y-y ทั้งจากธุรกิจฟื้นตัว, เรือเพิ่มขึ้น 1 ลำ และต้นทุนน้ำมันลดลง ซึ่งในครึ่งปีหลังกำไรปกติยังคงดีต่อเนื่องแต่กำไรสุทธิจะลดลง เพราะไม่มีกำไรขายเรือเหมือนปีก่อน ทางฝ่ายปรับกำไรขึ้นอีก 27.9% เป็น 1,921 ล้านบาท อิง P/E 12 เท่า ราคาพื้นฐานปรับเป็น 9.20 บาท โดยอาจมี upside เพิ่มจากงาน Project ที่คุยกับลูกค้าที่จะมีความชัดเจนในครึ่งปีหลัง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

2Q66 แนวโน้มกำไรปกติดีขึ้น y-y, q-q
จาก 1Q66 ที่กำไรเติบโตดี ภาพใน 2Q66 ยังคงดีต่อเนื่องแนวโน้มกำไรปกติคาดโต y-y, q-q มาจาก 1) ขนส่งน้ำมันในประเทศแนวโน้มดีขึ้นจากการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทำให้การใช้น้ำมันปรับตัวฟื้นตัวขึ้น โดยการใช้น้ำมันดีเซลและเบนซินในประเทศกลับมาเท่าก่อนโควิดแล้ว ส่วนน้ำมันเครื่องบิน Jet-A1 โดย มี.ค. อยู่ที่ 14 ล้านลิตร/วัน ต่ำกว่าก่อนโควิดที่ 20 ล้านลิตร ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อีก อีกทั้งราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนลดลง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น และยังมีการรับเรือเคมีใหม่ 1 ลำ ขนาด 1 หมื่น DWT 2) ขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ เรือ Aframax ได้สัญญา Time Charter ตั้งแต่ เม.ย. ซึ่งค่าเช่าดีกว่าที่ PRM คาดไว้ โดยที่เรือ VLCC 3 ลายังคงทำงานให้กับ TOP ปกติ 3)ออฟชอร์ เรือ AWB (โรงแรมลอยน้ำ) วันทำงานมากขึ้น หลังกลับมาทำา งาน 16 เม.ย. จากเข้าอู่ซ่อมตั้งแต่ 1 มี.ค. ซึ่งค่าเช่าเพิ่มขึ้น 10-15% Crew Boat ยังคงทำ ให้กับ PTTEP ปกติ 4) ขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน (FSU) มีเรือเข้า Dry Dock 1 ลำ ใน 2Q66 เกือบทั้งไตรมาส ทำให้เรือเหลือ 5 ลำ แต่ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลดีต่อต้นทุน จะช่วยชดเชยเรือที่หายไปได้ส่วนหนึ่งคาดกำไรลดลงไม่มาก

2H66 ยังดีต่อเนื่อง และเน้นในธุรกิจขนส่งน้ำมันและออฟชอร์
ในครึ่งปีหลังภาพโดยรวมยังคงดีเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก โดยยังเน้นในธุรกิจขนส่งน้ำมันทั้งในและระหว่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนในรายได้ที่ 60% จากความต้องการใช้น้ำมันในประเทศฟื้นตัว ในอนาคต TOP มีแผนการขยายกำลังการผลิต คาดจะมีการส่งออกมากขึ้น จึงแผนลงทุนต่อเรือใหม่ 4-6 ลำ เพื่อทดแทนเรือเก่าที่มีขนาดเล็ก แต่ต้องใช้เวลาต่อราว 24 เดือน รวมถึงเรือขนส่งปิโตรเคมีลำใหม่ทำงานได้เต็มในครึ่งปีหลัง
ซึ่งแนวโน้มธุรกิจขนส่งปิโตรเคมียังมีโอกาสในการเติบโตจากโรงกลั่นในมาเลเซียและจีนขยายกำลังการผลิต จึงมีแผนซื้อเรือเพิ่มหรือจับมือกับพาร์ทเนอร์ในการเช่าระยะยาว ขยายธุรกิจด้านนี้ และออฟชอร์เป็นอีกธุรกิจที่บริษัทให้ความสนใจ เพราะการขุดเจาะสำ รวจในอ่าวไทยและประเทศเพื่อนบ้านมีมากขึ้น ทำให้เรือในกลุ่มนี้มีความต้องการมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา PRM ได้มีการสั่งต่อ Crew Boat ไว้ 2 ลำ จะรับ พ.ย. 66 และ ก.พ. 67 และศึกษาที่จะเพิ่มบริการอื่น ๆ ทางด้านนี้ ส่วน FSU เรือกลับมาทำงานครบ 6 ลำ ในครึ่งปีหลัง จากที่หายไปราว 4 เดือนในครึ่งปีแรก ในขณะที่อัตราค่าเช่ายังคงได้เท่าเดิม แต่แนวโน้มต้นทุนน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำจากราคาน้ำมันที่ถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของจีน และขนส่งระหว่างประเทศ ทำงานครบ ทั้ง 4 ลำ ภายใต้สัญญาแบบ Time Charter ซึ่งมีรายได้แน่นอนและผู้เช่าเป็นผู้ออกค่าน้ำมัน ต้นทุนไม่ผันผวน กำไรปกติจะยังโตได้ y-y แต่ในแง่ของกำไรสุทธิจะปรับลง เพราะปีก่อนมีขายเรือใน 3Q65 จากทั้งของบริษัทและบริษัทร่วมมีกำไรสูงที่ 676 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเจรจา Project กับลูกค้า ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด แต่จะมีความชัดเจนในครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็น upside เพิ่ม

ปรับคาดการณ์กำไรขึ้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปรับขึ้นเป็น 9.20 บาท
จากกำไรที่ออกมาดีใน 1Q66 และช่วงที่เหลือยังดี อีกทั้งเรือเข้า Dry Dock น้อยกว่าปีก่อนเหลือ 9 ลำ จาก 19 ลำ จึงปรับคาดการณ์รายได้ขึ้นเป็น 8,737 ล้านบาท +13.4% y-y และปรับกำไรขึ้นจากคาดการณ์เดิมอีก 27.9% เป็น 1,921 ล้านบาท อิง P/E เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 12 เท่า จากเดิม 14.9 เท่า จากการซื้อขาย P/E ปี 65 ที่ต่ำลง แต่ด้วยกำไรที่โตขึ้น ราคาพื้นฐานปรับขึ้นเป็น 9.20 บาท ยังคำแนะนำ “ซื้อ”

สยาม ติยานนท์
นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ #17970
โทร: 66 2 635 1700 # 483