สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(8 พฤษภาคม 2566)--------------บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) - นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวย้ำถึงความเชื่อมั่นในแนวโน้มและผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2566 โดยได้รับแรงผลักดันจากการเดินทางทั่วโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และกลยุทธ์การยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เชิงรุกของบริษัทสำหรับธุรกิจร้านอาหาร
“แนวโน้มการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมที่แข็งแกร่ง บ่งบอกว่าผลการดำเนินงานของ MINT อาจสูงเกินความคาดหมาย”
นายดิลลิป ราชากาเรียกล่าว “โรงแรมของเราทั่วโลกมีความพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากความพยายามในการขายข้าแบรนด์และข้ามภูมิภาค, ความสำเร็จในการขยายแบรนด์ของเราออกนอกตลาดต้นกำเนิดของแบรนด์นั้นๆ
และเจาะเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีโอกาสในการเติบโต”
ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้ดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ เช่น กลยุทธ์การขาย การตลาด โซเชียลมีเดีย และโปรแกรมความภักดีเพื่อผลักดันให้โรงแรมเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและส่งเสริมการขายข้ามแบรนด์และข้ามภูมิภาคไปยังตลาดใหม่ นายดิลลิป ราชากาเรียได้กล่าวเพิ่มเติมว่า
“อัตราการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศในทุกภูมิภาค ประกอบกับกลยุทธ์ในการขายเฉพาะของแต่ละแบรนด์ ทั้งนี้ เพื่อที่จะรับมือกับสภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแบรนด์ ในขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนได้มีการเปิดตัวเมนูใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายอย่างแข็งแกร่ง โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของการบริโภคภายในประเทศ”
MINT รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาส 1 ปี 2566 ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี EBITDA จากการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่จำนวน 6.9 พันล้านบาท จากจำนวน 2.7 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 150 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยความต้องการในการเดินทางที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและจำนวนลูกค้าร้านอาหารที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการดำเนินกลยุทธ์การกำหนดราคาค่าห้องพักเชิงรุกและการเพิ่มจำนวนโรงแรมและร้านอาหารใหม่ๆ ในเครือของบริษัท ทั้งนี้ ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ ส่งผลให้อัตราการกำไร EBITDA จากการดำเนินงานเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากร้อยละ 13.2 ในไตรมาส 1 ปี 2565 เป็นร้อยละ 21.1 ในไตรมาส 1 ปี 2566 อย่างไรก็ตาม แม้ว่า MINT จะรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 647 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งเป็นผลส่วนใหญ่มาจากการเป็นช่วงนอกฤดูการเดินทางในทวีปยุโรปตามที่ทางบริษัทได้คาดการณ์และประมาณการไว้ล่วงหน้า แต่ผลขาดทุนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนจำนวน 3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565 โดยไมเนอร์ โฮเทลส์รายงานผลขาดทุนจากการดำเนินงานในจำนวนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสดังกล่าว ในขณะที่ผลกำไรของไมเนอร์ ฟู้ดเติบโตมากกว่า 4 เท่าจากปีช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงผลักดันจากการยกเลิกมาตรการการปิดเมืองต่างๆ ในประเทศจีนและการรักษาตำแหน่งของไมเนอร์ ฟู้ดในฐานะผู้นำตลาดร้านอาหารในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูง MINT ยังคงมุ่งบริหารจัดการฐานะทางการเงิน โดยลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลงมาอยู่ที่ 0.94 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 จาก 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 จากความสำเร็จในการการชำระคืนเงินกู้เดิมด้วยเงินกู้ใหม่ ซึ่งรวมถึงการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 10.5 พันล้านบาทในระหว่างไตรมาส นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ MINT ประกอบกับอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตเชิงกลยุทธ์อย่างแข็งแกร่งเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินต่อไป