สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(3พฤษภาคม 2566)---------K เฮ ล่าสุดรับงานตกแต่งภายในเลานจ์ สนามบินสุวรรณภูมิ ภายในโครงการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) มูลค่า 65 ล้านบาท และ งานตกแต่งร้านค้าภายในศูนย์การค้าเพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 20 ล้านบาท จ่อรับทรัพย์เข้ากระเป๋าทันที หนุนสัดส่วนรายได้จากกลุ่มงานตกแต่งภายใน( Interiors ) ในไตรมาส 2/66 โดดเด่น ขณะที่ไตรมาส 3 เตรียมบุก ดำเนินการตกแต่งภายในโรงแรมเพิ่ม มั่นใจรายได้ Interiors ส่อแววแตะ 150 ล้านบาท มั่นใจปี 2566 “K”จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ รายได้แตะ 840 ล้านบาท จากปัจจุบัน กอดBacklog ไว้แล้วกว่า 560 ล้านบาท
นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) “K” ผู้ประกอบธุรกิจออกแบบและตกแต่งงานแบบครบวงจร 4 ประเภท ประกอบด้วย1.ธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors), 2.ธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions), 3.ธุรกิจการตลาดทางเลือก (Alternative Marketing) และ 4.ธุรกิจงานพิพิธภัณฑ์และสวนสนุกแนวคิด (Museums & Thematic Park) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับงานใหม่ จากกลุ่มบริษัท มิราเคิล ซึ่งเป็นงานตกแต่งภายใน (Interiors) เลานจ์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ ภายในโครงการอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) มูลค่า 65 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 5 เดือน (พฤษภาคม-กันยายนนี้) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 และจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาทันทีในไตรมาส 2/2566 นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้รับงาน Interiors ร้านค้าขนาดกลาง ภายในศูนย์การค้าเข้ามา 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งมอบงานและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2-3/2566 นี้ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2566 บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มงาน Interiors เข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างโดดเด่น
ขณะเดียวกันในช่วงเดือนกันยายนนี้ บริษัทฯได้รับงานตกแต่งภายในของโรงแรมแห่งหนึ่ง มูลค่ากว่า 42 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ ประมาณ 16 ล้านบาท ส่วนรายได้ที่เหลือจะรับรู้ต่อเนื่องในปี 2567
“ บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มงาน Interiors ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 150 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้รับงานตกแต่งเลานจ์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ, ตกแต่งโรงแรม และงานตกแต่ร้านค้าภายในศูนย์การค้า คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 120 ล้านบาทแล้ว อีกทั้ง บริษัทฯยังมีตกแต่งร้านค้าขนาดเล็ก ที่มีมูลค่า1-5 ล้านบาทต่อโครงการเข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ส่วนถึงยังมีงานที่อยู่ระหว่างการติดตาม ซึ่งเป็นงานตกแต่งภายในอาคารสำนักงาน มูลค่า 20 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ในเร็วๆนี้ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทฯมั่นใจว่าในปีนี้รายได้จากกลุ่มงาน Interiors จะเติบโตตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน”
สำหรับแผนการเติบโตดังกล่าว สอดรับกับการเน้นกลยุทธ์ในส่วนงาน Interiors โดยลดขนาดงานลง หันมาเน้นรับงานระยะสั้น-ระยะกลางมากขึ้น รูปแบบ Micro Management รวมถึงจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) มากขึ้น เนื่องจากมองว่างานประเภทดังกล่าว อยู่ในกรอบระยะเวลาในการการดำเนินงานไม่นานเกินไป ซึ่งสามารถหมุนรอบของกระแสเงินสดที่ไว และมีมาร์จิ้นที่ดี
ส่วนงาน Exhibition ประเภท Pop-Up Store (การตั้งร้านชั่วคราวตามจุดพื้นที่ที่มี traffic) นั้น ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้า 2 ราย ซึ่งแบรนด์ลักซ์ชัวรี่ (Luxury) มีมูลค่างานเฉลี่ยประมาณ 50-60 ล้านบาทต่อราย โดยคาดว่าจะสามารถสรุปดีลได้ในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯมี Backlog อยู่กว่า 560 ล้าน ดังนั้นจึงมองว่าในช่วงระยะเวลาที่เหลือ บริษัทฯมีแนวโน้มจะได้รับงานใหม่ๆเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่า 290 ล้านบาทอย่างแน่นอน ทำให้บริษัทฯเชื่อมั่นว่า ในปี 2566 “K”จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตแตะระดับ 840 ล้านบาท จากสัดส่วนรายได้ 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มงาน Interiors ประมาณ 150 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 15-20% ของรายได้รวม และกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) รวมถึงงาน Event (อีเว้นท์) ประมาณ 690 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 80-85% ของรายได้รวม
----จบ----