Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Matket Talk

102

 

 

ดอกเบี้ยเป็นแรงกดดัน หวังFLOW ช่วย
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% โดยเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกที่ฟื้นตัว ขณะที่สภาพคล่องส่วนเกินมีมากพอ ส่วนเงินเฟ้อยังต้องติดตามเพราะการผลักภาระต้นทุนส่วนเพิ่มไปยังผู้บริโภคยังไม่จบ ส่วนทิศทางในอนาคต กนง. ยังไม่ปิดโอกาสที่จะปรับขิ้นดอกเบี้ยต่อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในขาขึ้นเป็นแรงกดดันโดยตรงมายังตลาดหุ้นผ่านการทำให้Market Earning Yield Gap (MEYG) แคบลง ซึ่งตามหลักการแล้วก็จะท าให้ค่า PER เป้าหมายของตลาดลดลง อย่างไรก็ตามหากจะคงระดับค่า PER ไว้ได้ หรือกล่าวในอีกทางหนึ่งคือการทำให้นักลงทุนยอมรับ MEYG ที่ต่ำลง ก็ต้องหวังพึ่ง Fund Flow เข้ามาหนุน ทั้งนี้จากข้อมูลในอดีตพบว่าหาก Fund Flow ไหลเข้าในบางช่วงเวลา MEYG ก็ลงมาต่ำกว่า 4%ได้หากยังไม่เห็นสัญญาณการไหลกลับมาของ Fund Flow เชื่อว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างยาก วันนี้ประเมินกรอบช่วง 1600 –1620 จุด หุ้น Top Pickเลือก ADVANC, CRC และ STEC

 

SENTIMENT ตลาดหุ้นโลกผ่อนคลาย หนุน SET INDEX วันนี้
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 1.0%-1.8% ขณะที่ตลาดหุ้นโซนยุโรป ปรับตัวขึ้นราว 1.0%-1.5% จากปัญหาสถาบันการเงินผ่อนคลายมากขึ้น หลังรัฐบาลเร่งให้ความช่วยเหลือผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินเสริมสภาพคล่อง อีกทั้งภาคเอกชนยังเข้ามาปิดดีลซื้อกิจการ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ปัญหาลุกลามและเรียกความเชื่อมั่นให้กับภาคธนาคาร ขณะที่วานนี้บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯอย่างไมครอน เทคโนโลยี ได้เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่สดใสในอนาคต เนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งประเด็นดังกล่าว จึงท าให้หุ้นกลุ่ม Consumer Discretionary(สินค้าฟุ่มเฟือย),Financial(สถาบันการเงิน) และ Information Technology(IT) ปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่า1.9% 1.8% 1.2% ตามลำดับ


สรุป ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกราว 1%-2%จากที่เริ่มผ่อนคลายจากปัจจัยลบต่างๆ คาดเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ SET Index วันนี้ให้ยืนตัวในแดนบวกได้ โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ระดับ 1500-1620 จุดกนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% ตามคาดกนง. มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% สอดคล้องกับเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออีกทั้งยังกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วง Pre-Covid แล้ว


สำหรับเหตุผลที่ กนง. ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้หลักๆ มาจาก
 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง กลับมาอยู่ในช่วง Pre-covid ขณะที่ระยะถัดไปยังมีแนวโน้มเติบโตจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศเป็นสำคัญท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยกนง. ปรับคาดการณ์จำนวนนทท. ปี 2566 จาก 25.5 ล้านคน เป็น 28 ล้านคน และประเมิน GDP66F อยู่ที่+3.6%YoY (เดิม 3.7%)
 การส่งออกมีสัญญาณฟื้นตัวจากช่วง 4Q65 และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจนขึ้นช่วง 2H66ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีน
 เงินเฟ้อไทยยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมายกรอบบนที่ 3% โดยล่าสุด CPI เดือนก.พ. 66 อยู่ที่ 3.79% รวมถึงเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในปัจจุบัน (เดือน ก.พ.+1.93%YoY) ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง และจากการสำรวจผู้ประกอบการหลายรายยังไม่ส่งต่อภาระต้นทุนให้กับผู้บริโภค ซึ่ง
อาจทำให้เงินเฟ้อฝั่ง Demand ลดลงได้ช้าในระยะถัดไป
 ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย และไม่เป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนของภาคเอกชน ขณะที่ธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการยังได้รับสินเชื่อใหม่ต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่สูงถึง 47.2%


ขณะที่แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินระยะถัดไปยังมุ่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ และพร้อมจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่อาจอยู่ในระดับสูงกว่าคาด (ประเมินเงินเฟ้อปีนี้ในกรอบ 1 –3%) รวมถึงการเติบโตของอุปสงค์และภาคการท่องเที่ยวที่ยังมี Upside ขณะที่ปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ผ่านมาไม่ได้กระทบระบบการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสรุป กนง. มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ติดต่อกันเป็นครั้งที่5 มาอยู่ที่ระดับ1.75% สอดคล้องกับเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ขณะที่แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินหลังจากนี้ยังคงต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ, ภาพรวมเศรษฐกิจ, ผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย, ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกประเทศ เป็นต้น
สภาพคล่องส่วนเกิน ยังเป็นแรงผลักดันและหนุนตลาดหุ้นในช่วงนี้ตลาดหุ้นโลกฟื้นขึ้นมาได้ดีในช่วงนี้ ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบ หลังจาก Fed มีการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ ธ.พ. อีกทั้งยังสอดคล้องกับข้อมูลในอดีตเวลามีการเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน หรือ QE ตลาดทั่วโลกรวมถึงไทยมักจะปรับขึ้นได้ดี จนซื้อขายบน PER ที่สูงกว่าปกติ

อีกทั้งในช่วงที่สภาพคล่องล้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขยับขึ้นจน ระดับ MEYG ค่อยๆ ลดต่ าลง ซึ่งในอดีตมีหลายๆ ครั้งที่ตลาดสามารถซื้อขายบน MEYG ที่ต่ ากว่าระดับ 3%(ค่าเฉลี่ยปัจจุบันที่ 4.2%)


ดังนั้นในภาวะความคาดหวังสภาพคล่องที่เติมเข้ามา ด้วยการเพิ่ม QE หรือความหวังจากการลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป น่าจะหนุนหุ้นไทยให้ซื้อขายบน MEYG ที่ระดับต่ำกว่า 4% หรือ หรือ P/E สูงกว่า 17.5 เท่า ได้เป้าหมายดัชนีมีโอกาสสูงกว่า 1610 จุดแต่ถ้าอิงกับ MEYG ณ ปัจจุบันที่ 3.75% จะได้ระดับดัชนีที่มีแรงหนุนจากสภาพคล่องณ ปลายปี ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1670 จุดส่วนหนุนเด่นวันนี้ แนะนำหุ้นสภาพคล่องสูง (เป้าหมายของ Fund Flow) มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่าง CRC (มีประเด็นซื้อ Vincom), ADVANC (ฟื้นตามหุ้นเทคโนโลยีโลก), STEC (ราคา Laggard หุ้นธีมการเมือง) เป็น Toppick ในวันนี้

 

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืนได้ By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นหุ้นหลายตัว ยืนได้ เปล่งประกายลำแสงสีเขียว ได้ต่อเนื่องหรือไม่ บ่ายวันนี้ มาจับตามอง ....

PTG จัดแคมเปญเติมน้ำมัน-LPG รับมะม่วงแฟนซี ฟรี!

PTG จัดแคมเปญเติมน้ำมัน-LPG รับมะม่วงแฟนซี ฟรี!

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้