สรุป เมื่อคืนนี้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นได้ 16.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รับการอ่อนค่าในทางเทคนิคของดัชนีดอลลาร์ หลังไม่ผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (SMA200) ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐที่ปรับตัวลง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวลงตามที่ธนาคารขนาดใหญ่หลายๆ แห่งได้ออกมาเตือนหรือคาดการณ์ไว้ ส่วนในวันนี้ราคาทองคำแกว่งตัว sideway ออกข้างอยู่ในกรอบ 1,780.40-1,788.01 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้สร้างฐานอยู่บริเวณ 1,781 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (จุด High วันอังคารที่ 8 ธ.ค.) หลังจากที่ได้ break out บริเวณดังกล่าวขึ้นมาเมื่อคืนนี้ นอกจากนี้ยังโดนแรงกดดันมาจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป ซึ่งมีต้นเหตุมาจากวิกฤตพลังงาน เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวนี้รัฐบาลทั่วยุโรปต่างออกมาตรการช่วยเหลือในเรื่องต้นทุนพลังงาน ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนทางการเงินอย่างมาก อีกทั้งนักยุทธศาสตร์จาก BNP Paribas SA ยังกล่าวว่า แม้แต่โรงไฟฟ้าในภูมิภาคอย่างเยอรมนีและฝรั่งเศส ก็ไม่รอดพ้นจากต้นทุนการกู้ยืมที่พุ่งสูงขึ้น ในช่วงที่ ECB เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ปัจจัยดังกล่าวจึงยิ่งมากดดันเศรษฐกิจยุโรป ส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่าลง หนุนดอลลาร์แข็งค่า และกลับมากดดันราคาทองคำ สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ รวมไปถึงถ้อยแถลงจาก Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB)
แนวโน้ม Gold Spot:
หากราคาทองคำไม่สามารถ break out ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,790-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นให้ราคากลับลงมาตั้งฐานราคาด้านล่างอีกครั้ง เบื้องต้นประเมินว่ากรอบแนวรับด้านล่างโซน 1,764-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,764 ระดับต่ำสุดของสัปดาห์นี้) หากราคายืนเหนือโซนนี้ได้ อาจมีแรงดีดกลับของราคาอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน:
Long Position ทยอยปิดสถานะซื้อหากราคาดีดตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,790-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้สามารถถือต่อไปยังแนวต้านถัดไป แต่หากหลุด 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้ตัดขาดทุนสถานะซื้อเพื่อลดความเสี่ยง
Short Position ทยอยปิดสถานะขายหากราคาอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับแรกบริเวณ 1,764-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดแนวรับแรกสามารถถือต่อเพื่อรอดูแนวรับถัดไป อย่างไรก็ตามหากราคาปรับตัวขึ้นผ่าน 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้ตัดขาดทุน
Open New แนะนำเปิดสถานะขายทำกำไรในบริเวณ 1,790-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากยืน 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้) และหากราคาอ่อนตัวลงทยอยปิดสถานะขายหากราคายืนเหนือบริเวณ 1,764-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้