Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: ระวัง SET เดือนแห่งความรักพักฐาน

607

 

 

 



HotNews:  ระวัง SET
 เดือนแห่งความรักพักฐาน

      สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(   2  กุมภาพันธ์   2561)--------  SET  เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ได้รวบรวมมุมมอง เหล่าเซียนหุ้น ที่มีการพยากรณ์ ทิศทางตลาดหุ้นเดือนกุมภาพันธ์  นำโดยบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส  เปิดสถิติ SETกุมภาพันธ์ หุ้นขึ้นมากกว่าลง จากข้อมูลสถิติในช่วงปี 2543-2560 (18 ปี) พบว่าจำนวนครั้งที่หุ้นขึ้น (เทียบ MoM)ในเดือนก.พ.เป็น 12 ครั้ง หุ้นลง 6 ครั้ง คิดเป็นโอกาสความเป็นไปได้ที่หุ้นขึ้นอยู่ที่ 67% และหุ้นลง 33%  
กูรูทิสโก้   ให้มุมมอง ที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ จากโอกาสการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ Upside ของตลาดหุ้นไทยโดยรวมเริ่มจำกัด แนะทยอยแบ่งขาย-ถือเงินสดเพิ่ม    ขณะที่เทพหุ้นเคจีไอ ประเมิน ก.พ.SET พักฐาน-หุ้นเด่นAMATA, BEAUTY, COM7, GLOW, IRPC, LH, OR, WHA    ด้านเซียนหุ้น FSS  คาด SET เดือนกุมภาพันธ์ ปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ 
 
 


บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส  ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์    มองตลาดหุ้นไทยเดือนกมภาพันธ์มีแรงส่งที่ดี แต่ผันผวนมากขึ้น จากสภาพคล่องทางการเงินที่สูง และเป็นช่วงเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q60 และการประกาศเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะทยอยออกมาถึงสิ้นเดือนก.พ.61 ประเมินดัชนีเป้าหมายระยะสั้นไว้ที่ 1850 จุด และระยะ 1 ปีข้างหน้าไว้ที่ 1933 จุด (เทียบเท่ากับ P/E ปีนี้ที่ 17.8 เท่าโดยประมาณการ EPS growth ตลาดหุ้นไทยที่ 10%)
ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วย 1. สภาพคล่องการเงินในตลาดโลกที่สูง และเม็ดเงินแสวงหา Returnมากกว่า 1-2% ต่อปี ทำให้ตลาดหุ้นยังจูงใจ, 2. เศรษฐกิจโลกเติบโตดีขึ้น ทั้งสหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น, จีน, ประเทศในเอเชีย ทำให้ดีมานด์เติบโตดี และปริมาณการค้าโลกสูงขึ้น, 3. ทรัมป์ลดภาษีช่วยหนุนกำไรภาคธุรกิจเศรษฐกิจสหรัฐ และกำไรบจ.ในตลาดหุ้น, 4. การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหนุนกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี, 5.การเก็งกำไรงบ 4Q60 และการจ่ายเงินปันผลในช่วงต้นปี
ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ 1. ปัญหาการเมืองทั่วโลก ทั้งในสหรัฐ, ตะวันออกกลาง, คาบสมุทรเกาหลี และในไทยซึ่งอาจจะเลื่อนเลือกตั้งออกไป 90 วัน, 2. ราคาน้ำมันดิบเพิ่มทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ดอกเบี้ยอาจปรับขึ้นมากกว่าคาด, 3.การปรับขึ้นอัตราค่าแรงงานในประเทศอีก 5% กระทบกำไร SMEโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก, 4. การแข็งค่าของเงินบาท กระทบบริษัทส่งออก, 5. ฟองสบู่ในตลาดเงินดิจิตอล, 6. Valuation ตลาดหุ้นอยู่ในโซนแพง ทำให้อ่อนไหวต่อข่าวลบ
เดือนก.พ.-หุ้นขึ้นมากกว่าลง จากข้อมูลสถิติในช่วงปี 2543-2560 (18 ปี) พบว่าจำนวนครั้งที่หุ้นขึ้น (เทียบ MoM)ในเดือนก.พ.เป็น 12 ครั้ง หุ้นลง 6 ครั้ง คิดเป็นโอกาสความเป็นไปได้ที่หุ้นขึ้นอยู่ที่ 67% และหุ้นลง 33% อย่างไรก็ตามเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยของการขึ้นอยู่ที่ 4% น้อยกว่าเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยของการลงที่ -5%
ปีนี้ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น การลงทุนใหม่/การเก็งกำไรตามรอบในปี 2561 มีความเสี่ยงสูงขึ้นดังนั้นจึงควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจมั่นคง แนวโน้มดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ และควรวิเคราะห์จังหวะเข้าซื้อและขาย (Timing) ในการลงทุนด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการทยอยซื้อสะสมหุ้นดีเพื่อลงทุนระยะยาววิธีลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA) ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค กรณีที่ 1. ถ้า SET Index สามารถยืนเหนือ 1850 จุดได้ในสัปดาห์แรกของเดือนก.พ. ก็มีโอกาสทำ New high เช่น 1870 จุด หรือสูงกว่า ในช่วงครึ่งแรกของเดือน แล้วครึ่งหลังของเดือนจะพักฐานลงไปต่ำกว่า1850 จุด ส่วนกรณีที่ 2. ดัชนีสัปดาห์แรกต่ำกว่า 1850 จุด ก็มีโอกาสปรับลงมายัง 1800 จุดหรือต่ำกว่าในช่วงครึ่งเดือนแรก แล้วรีบาวด์สั้น/หรือไซด์เวย์ออกด้านข้าง/หรือลงต่อ
สำหรับธีมเด่นหุ้นดีจาก DBS เราให้เป็น 4 ธีมและ 4 หุ้นเด่น โดยในเดือนก.พ.ทาง Retail Research ได้เพิ่มเข้ามาใหม่อีก 1 ธีม คือ ธีมท่องเที่ยว หุ้นเด่นคือ ERW) จากเดิมที่มี 3 ธีมและ 3 หุ้นเด่น คือ ธีมการลงทุนฟื้นตัว (EEC) หุ้นเด่น AMATA, ธีมเติบโต หุ้นเด่น IVL และธีมปันผลสูง หุ้นเด่น KKP ซึ่งสรุปได้ดังนี้
+ Investment recovery - หุ้นเด่น เป็น AMATA (ได้ประโยชน์จากโครงการ EEC, มูลค่าที่ดินสูงขึ้น ทำให้ NAVเพิ่มขึ้น, มีนิคมฯในเวียดนาม, มีส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหนุนด้วย)
+ Growth - หุ้นเด่น เป็น IVL (ได้อานิสงค์ทางบวกจากจีน ban การใช้พลาสติกรีไซเคิล, ได้ลดภาษีธุรกิจในสหรัฐ,ทางการสหรัฐอาจเก็บ AD ประเทศที่เข้าไปทุ่มตลาด)
+ High dividend - หุ้นเด่น เป็น KKP (จ่ายปันผลสูง โดยเฉพาะ 2H เพื่อขยาย ROE คาด Yield 6-7% ต่อปี)
+ Tourism - หุ้นเด่น เป็น ERW (เติบโตตามภาคท่องเที่ยวของไทย และขยายจำนวนโรงแรมทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะ Hop Inn)


สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้  เปิดเผยว่า  ตลาดหุ้นทั่วโลกออกตัวปี 2018 ดีมาก โดยในเดือน ม.ค. เพียงเดือนเดียว MSCI World Index ปรับตัวขึ้น +5.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ม.ค.) ต่อเนื่องจากปี 2017 ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้ว +21.6% การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนที่ผ่านมา ได้รับ Sentiment หลัก ๆ จากราคาน้ำมันที่ขึ้นสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี และการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน อย่างไรก็ดี เราเป็นห่วงว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเกิดการพักฐานในไม่ช้านี้ ซึ่งน่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นอื่น ๆ มีความผันผวนตาม (1) จากการตรวจสอบข้อมูลความเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐฯ ย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 1900 พบว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในเดือนนี้ (ก.พ. 2018) จะปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกันมีเพียงประมาณ 1% หรือในทางกลับกันจะแสดงนัยถึงโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลงมีสูงถึง 99% (2) การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของ 10Y US Bond Yield ซึ่งล่าสุดขึ้นทะลุระดับ 2.70% ไปแล้ว สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2014 น่าจะกดดันตลาดหุ้นโลก เนื่องจาก Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้น นอกจากจะลดความน่าสนใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้นลงแล้วจากส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร หรือที่เราเรียกว่า Earning Yield Gap (EYG) ลดลง แต่ยังมีผลเชิงลบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยจากอัตราคิดลดที่เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี งบนอกกลุ่มแบงก์ (non-BANK) ที่จะทยอยประกาศเดือนนี้ โดยรวมคาดว่าจะเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ ผสานกับการประกาศจ่ายเงินปันผลน่าจะช่วยประคับประคองตลาดหุ้นไทยต้านแรงเสียดทานปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกได้ โดยเราเชื่อว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นเป็นรายตัวที่คาดว่าจะงบจะออกมาดีหรือมีปันผลดี โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลง
สำหรับการเลือกตั้งที่ถูกเลื่อนจากคาดการณ์เดิมในเดือน พ.ย. ปีนี้ เป็นเดือน ก.พ. ปีหน้า เราไม่ได้วิตกกังวลมากนัก เพราะเป็นระยะเวลาเพียง 3 เดือน และยังมีขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามต่อ คือ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนต่างๆ ระลอกใหม่ และรัฐบาลจะสร้างประเด็นทางการเมืองให้ถูกโจมตีอีกหรือไม่ เพราะหากการเมืองไม่นิ่ง อาจทำให้การทำงานของรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายมีปัญหา และกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้
โดยสรุป เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ จากโอกาสการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ Upside ของตลาดหุ้นไทยโดยรวมเริ่มจำกัด โดยเราแนะนำทยอยแบ่งขาย-ถือเงินสดเพิ่ม เน้นเลือกลงทุนแบบ "Selective Buy" หุ้นงบดี (แนะนำ COM7, PLANB, ROJNA, TPIPP ) และปันผลดี (แนะนำ NYT, PDI, SIRI ) ดังนั้น หุ้นที่เราแนะนำในเดือน ก.พ. คือ COM7, NYT, PDI, PLANB, ROJNA, SIRI และ TPIPP สำหรับการทบทวนดัชนี MSCI รอบนี้ในวันที่ 12 ก.พ. ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. เรามองไม่มีการเปลี่ยนแปลงหุ้นไทยตัวใด ๆ ทั้งในดัชนี MSCI Global Standard Index และ MSCI Small Cap Index ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1800-10, 1780-90 และ 1840-50 จุด ตามลำดับ
มองหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณพักฐาน น่าจะกดดันหุ้นทั่วโลกผันผวนตาม.
ตลาดหุ้นทั่วโลกออกตัวปี 2018 ดีมาก โดยในเดือน ม.ค. เพียงเดือนเดียว MSCI World Index ปรับตัวขึ้น +5.5% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ม.ค.) ต่อเนื่องจากปี 2017 ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้ว +21.6% การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนที่แล้ว ได้รับ Sentiment หลัก ๆ จากราคาน้ำมันที่ขึ้นสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี และการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน ขานรับการประกาศผลประกอบการ 4Q17 ของสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด รวมทั้งนักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในปีนี้จากแผนการลดภาษี
อย่างไรก็ดี ด้วยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงมากแล้ว เราจึงเป็นห่วงว่าจะเกิดการพักฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในไม่ช้านี้ ซึ่งน่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นอื่น ๆ มีความผันผวนตาม (เริ่มมีอาการบ้างแล้วในช่วงสิ้นเดือน ม.ค.) ด้วยเหตุผลสนับสนุนดังนี้ (1) จากการตรวจสอบข้อมูลความเคลื่อนไหวของหุ้นสหรัฐฯ ย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 1900 พบว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในเดือนนี้ (ก.พ. 2018) จะปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกันมีเพียงประมาณ 1% หรือในทางกลับกันจะแสดงนัยถึงโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลงมีสูงถึง 99% ทั้งนี้สถิติตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นติดต่อกันสูงสุด 12 เดือน โดยเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้ง คือ ในเดือน มี.ค. 1936 และในเดือน ก.พ. 1959 ขณะที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 11 เดือน เกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเช่นกัน คือ ในเดือน มี.ค. 1943 และในเดือน พ.ค. 1950 (2) การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของ 10Y US Bond Yield ซึ่งล่าสุดขึ้นทะลุระดับ 2.70% ไปแล้ว สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2014 น่าจะกดดันตลาดหุ้นโลก เนื่องจาก Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้น นอกจากจะลดความน่าสนใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้นลงแล้วจากส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร หรือที่เราเรียกว่า Earning Yield Gap (EYG) ลดลง แต่ยังมีผลเชิงลบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยจากอัตราคิดลดที่เพิ่มขึ้นด้วย สำหรับตลาดหุ้นไทย EYG ลดลงต่อเนื่อง ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 2.5-2.6% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 3 ปีที่ผ่านมาแล้วที่อยู่ที่ 2.65% (เป็นช่วงที่ FED เริ่มต้นวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป) เรามอง EYG ที่ต่ำกว่าระดับ 2.4% ลงมาเป็นจุดวิกฤติที่คาดว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
...งบนอกกลุ่มแบงก์ (non-BANK) ที่จะทยอยประกาศเดือนนี้ โดยรวมคาดจะเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ ผสานเงินปันผลจะช่วยประคับประคองตลาด
แม้เดือนที่แล้ว หุ้นกลุ่มแบงก์ทั้ง 8 แห่งที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราประกาศงบ 4Q17 ต่ำกว่าเราและตลาดคาดราว 5% (เนื่องจากมีการตั้งสำรองฯ พิเศษเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ที่จะเริ่มใช้ในปีหน้า และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจประกันที่น้อยกว่าคาด) โดยมีกำไรสุทธิรวม 4.47 หมื่นล้านบาท ลดลง 9% YoY และทรงตัว QoQ แต่หุ้นนอกกลุ่มแบงก์ (non-BANK) โดยรวมคาดว่าจะออกมาดี โดยจะมีกำไรสุทธิเติบโต 21% YoY และ 9% QoQ มาที่ 1.60 แสนล้านบาท (อิงจาก Bloomberg Consensus จำนวน 195 บริษัท ซึ่งไม่รวมหุ้นกลุ่มแบงก์และหุ้นในตลาด mai) หลัก ๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรในกลุ่มพลังงาน (จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น), กลุ่มขนส่ง (จากฐานกำไรที่ต่ำมากหลังหุ้นสายการบินหลายตัวมีผลขาดทุนหนักในช่วงหลายไตรมาสก่อนหน้านี้ และเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว), กลุ่มพาณิชย์ (จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและการขยายสาขา-ช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง) และกลุ่มสื่อสาร (จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น, การอุดหนุนค่าเครื่องโทรศัพท์มือถือลดลง และมีกำไรจากการสินทรัพย์เข้ากองทุน) นอกจากงบนอกกลุ่มแบงก์ที่คาดว่าจะออกมาดีแล้ว จะมีการประกาศจ่ายเงินปันผลด้วย ซึ่งเราเชื่อว่าจะช่วยประคับประครองตลาดหุ้นไทยต้านแรงเสียดทานจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกได้ จากแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นเป็นรายตัวที่คาดว่าจะงบจะออกมาดีหรือมีปันผลดี โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลง
ไม่น่าวิตก หลังเลือกตั้งถูกเลื่อนจากคาดการณ์เดิมในเดือน พ.ย. ปีนี้ เป็นเดือน ก.พ. ปีหน้า
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา มีมติเป็นเอกฉันท์ 213 เสียงเห็นชอบให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.) มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน ส่งผลให้การเลื่อนตั้งที่เดิมคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. ปีนี้ถูกเลื่อนออกไป 3 เดือนเป็นเดือน ก.พ. ปีหน้า เราไม่ได้วิตกกังวลมากนักเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่เลื่อนออกไป เพราะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และยังคงมีขั้นตอนชัดเจนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อยู่ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามต่อ คือ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนต่างๆ ระลอกใหม่ และรัฐบาลจะสร้างประเด็นทางการเมืองให้ถูกโจมตีอีกหรือไม่ เพราะหากการเมืองไม่นิ่ง อาจทำให้การทำงานของรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายมีปัญหา และกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศได้ระยะต่อไป
เงินบาทอาจแข็งค่าต่อได้อีกไม่นาน หลังปัจจัยหนุนก่อนหน้านี้เริ่มแผ่ว และน่าจะเริ่มเห็นการอ่อนค่าใน Q2
ปัจจุบันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวที่บริเวณ 31.3-31.4 บาท/ดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี และมีส่วนช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเดือน ม.ค. ขึ้นทำลายสถิติสูงสุดเดิมต้นปี 1994 ที่ 1789 อย่างไรก็ดี เรามองแนวโน้มเงินบาทอาจแข็งค่าต่อได้อีกไม่นาน หลังไทยเริ่มขาดดุลการค้าในเดือน ธ.ค. เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน (ผลจากการส่งออกที่โตน้อยกว่าคาดและขณะเดียวกันการนำเข้าโตมากกว่าคาด) แต่ด้วยไทยยังเกินดุลบริการอยู่สูงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี จึงยังไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่หากผ่านพ้นช่วงเดือน ก.พ.ไปแล้ว ที่ไทยจะเริ่มเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low Season) ผสานกับฐานส่งออกที่เริ่มสูงในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จะทำให้การส่งออกโตน้อยลงถึงอาจติดลบได้ในบางเดือน อาจกดดันให้เงินบาทวกกลับมามีทิศทางอ่อนค่าได้ นอกจากนี้เรามองเงินดอลลาร์ฯ น่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นด้วย จากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในเดือน มี.ค. นี้ และเดือน มิ.ย. คาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งละ 0.25% เป็น 1.50-1.75% และ 1.75-2.00% ตามลำดับ และกำลังทดสอบกรอบแนวรับสำคัญทางปัจจัยเทคนิค
แนะทยอยแบ่งขาย-ถือเงินสดเพิ่ม เน้นเลือกลงทุนหุ้นงบ-ปันผลดี
เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ จากโอกาสการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ Upside ของตลาดหุ้นไทยโดยรวมเริ่มจำกัด โดยเราแนะนำทยอยแบ่งขาย-ถือเงินสดเพิ่ม เน้นเลือกลงทุนแบบ "Selective Buy" หุ้นงบดี (แนะนำ COM7, PLANB, ROJNA, TPIPP ) และปันผลดี (แนะนำ NYT, PDI, SIRI ) โดยสรุป หุ้นที่เราแนะนำในเดือน ก.พ. คือ COM7, NYT, PDI, PLANB, ROJNA, SIRI และ TPIPP สำหรับการทบทวนดัชนี MSCI รอบนี้ในวันที่ 12 ก.พ. ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. เรามองไม่มีการเปลี่ยนแปลงหุ้นไทยตัวใด ๆ ทั้งในดัชนี MSCI Global Standard Index และ MSCI Small Cap Index ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1800-10, 1780-90 และ 1840-50 จุด ตามลำดับ


ยังมีต่อ............

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไม่มีปัจจัยบวก By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ นอกจากสงครามการค้า ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดทั่วโลกในตอนนี้ นั่นคือ อิสราเอล-อิหร่าน ยังโจมตีตอบ...

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้