Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: AAI เข้าตากองทุนต่างชาติ -เปิดกำไร6 เดือนแรกปีนี้โต18.03%

1,802

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (31 ตุลาคม 2565)------------ บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล' หรือ AAI พร้อมเริ่มซื้อขายใน SET 1 พ.ย. นี้ หลังปิดจองซื้อหุ้น IPO จำนวน 637.5 ล้านหุ้นได้รับความสนใจซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบัน ทั้ง Fidelity, J.P. Morganด้านหัวเรือใหญ่ 'เอกราช พรรณสังข์' วางโรดแม็พการเติบโตสู่ระดับสากล พร้อมรองรับความต้องการในตลาดโลก



ทั้งนี้ บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก ที่เก็บรักษาได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็นหรือแช่เยือกแข็ง พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1 พ.ย. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,793.75 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "AAI"

 

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "AAI" ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565

 

AAI เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของประเทศ และมีศักยภาพในการผลิตอาหารพร้อมทานชนิดปิดผนึก โดยเป็นบริษัทแกนหลัก (Flagship) ในธุรกิจอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง ของกลุ่ม บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) ผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้หลักกว่าร้อยละ 80 ของบริษัท ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งแบบเปียกและแบบเม็ด ตอบโจทย์คนรักสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมว โดยได้รับการยอมรับจากลูกค้าว่าจ้างผลิต (OEM) ที่เป็นผู้ขายสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับสากล ในหลากหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังมีตราผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม ได้แก่ ตลาดสินค้าพรีเมี่ยม ตลาดมวลชน และตลาดที่แข่งขันด้านราคา เช่น monchou, Maria, Hajiko และ Pro

 

AAI มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO 2,125 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเสนอขาย 637.5 ล้านหุ้นประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมที่ถือโดย ASIAN 212.5 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 425 ล้านหุ้น โดยจัดสรรหุ้นสามัญเดิมและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 627.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.55 บาท แก่ประชาชนทั่วไปและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท แก่ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท ระหว่างวันที่ 17-26 ตุลาคม 2565 ได้รับเงินจากการระดมทุนทั้งสิ้น 2,353.25 ล้านบาท จากมูลค่าเสนอขาย 3,532.63 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,793.75 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 16.98 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ซึ่งเท่ากับ 694.56 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขาย IPO คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (fully diluted EPS) เท่ากับ 0.33 บาทต่อหุ้น โดยมีบริษัทบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

 

 

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานความปลอดภัยมามากกว่า 15 ปี โดยจุดแข็งของบริษัทคือความสามารถในการยกระดับงานวิจัย และมีกลยุทธ์ในการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) ร่วมกับลูกค้า ปัจจุบันบริษัทมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยความใส่ใจเพื่อส่งมอบสินค้าที่ดีที่สุด ซึ่งการนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัท และเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน ทั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และความเชื่อมั่นของคู่ค้า สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำมาเพิ่มขีดความสามารถของบริษัท โดยใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

 

AAI มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นในด้านการใช้เงินในการลงทุนหรือหมุนเวียน


ทั้งนี้ หลัง IPO บริษัทจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ (1) ASIAN ถือหุ้น 70% (2) นายสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ถือหุ้น 3.07% และ (3) นายแพทย์รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา ถือหุ้น 1.04%

 

ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.asianalliance.co.th และ www.set.or.th



ด้านนางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) AAI เปิดเผยงบการเงิน งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้ว ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทขอแจ้งคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสำหรับผลการดำเนินงาน งวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565

บริษัทมีรายได้จากการขายของบริษัท สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565 เท่ากับ 2,415.39ล้านบาท และ 3,464.30 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.43โดยโครงสร้างรายได้จากการขายของบริษัท


รายได้จากการขายของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และ (2) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้จากกระบวนการแปรรูปปลาทูน่า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลาทูน่า และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาทูน่า

(1) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง
รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเกือบทั้งหมดของบริษัทเป็นรายได้จากการรับจ้างผลิต (OriginalEquipment Manufacturer: OEM) ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ซึ่งเป็นลูกค้าเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชั้นนำในระดับสากล ทั้งนี้ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงจากการรับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้าไปยังต่างประเทศ โดยประเทศส่งออกหลักของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในภูมิภาคยุโรป คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 90ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง

(1.1) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงจากการรับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า
บริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงจากการรับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ 2,878.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น958.87 ล้านบาท จาก 1,919.64 ล้านบาท ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.95 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณคำสั่งซื้อของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงจากลูกค้าเจ้าของแบรนด์ของบริษัท เนื่องจาก ธุรกิจของลูกค้าเจ้าของแบรนด์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโน้มของตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ราคาขายเฉลี่ยต่อตันของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก บริษัทมีการปรับราคาขายเพื่อให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบที่มีการปรับตัวสูงขึ้น

(1.2) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตนเองบริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตนเอง สำหรับงวด6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565 เท่ากับ 37.30 ล้านบาท และ 71.40 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 91.43 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการดำเนินกิจกรรมการตลาดและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างต่อเนื่องในช่วงดังกล่าว

(2) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกของบริษัททั้งหมดเป็นรายได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า โดยมีประเทศส่งออกหลัก ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศอิสราเอล และประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย และประเทศซีเรีย เป็นต้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ70 –95ของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกทั้งหมด

บริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ 469.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.64 ล้านบาท จาก 426.05 ล้านบาท ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.24 ทั้งนี้ ปริมาณขายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลงเมื่อเทียบกับปริมาณขายจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบปลาทูน่า และอัตราค่าระวางเรือตั้งแต่ปี 2564 ส่งผลให้ลูกค้าลดปริมาณคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลง ในขณะที่บริษัทปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่มี
การปรับตัวสูงขึ้น


(3) รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้
ผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้จากกระบวนการแปรรูปปลาทูน่าของบริษัท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลาทูน่า และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาทูน่า ซึ่งวัตถุดิบหลักในการผลิตมาจากการนำส่วนของปลาทูน่าที่เหลือจากกระบวนการแปรรูปปลาทูน่ามาใช้ ส่งผลให้ปริมาณผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ของบริษัทแปรผันตามปริมาณการใช้วัตถุดิบปลาทูน่าในแต่ละช่วงเวลา โดยบริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2564 และ 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ เท่ากับ 32.40 ล้านบาท และ 44.70 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.96

ต้นทุนขายของบริษัทส่วนใหญ่เป็นต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 85 – 90 ของ
ต้นทุนขายของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และต้นทุนค่าแรงทางตรงเป็นหลัก สำหรับต้นทุนคงที่ของบริษัท (Fixed Cost) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 – 15 ของต้นทุนขายของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นทุนค่าแรงทางอ้อม ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าพลังงานเชื้อเพลิง และค่าเสื่อมราคาเป็นหลักบริษัทมีต้นทุนขาย สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ 2,803.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น891.55 ล้านบาท จาก 1,911.58 ล้านบาท ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ46.64 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายสินค้าและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 12.95 จากการที่ราคาวัตถุดิบต่อหน่วยเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ จากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจาก ปริมาณขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายสินค้าต่อหน่วยเพิ่มสูงขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบต่อหน่วย ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้น เท่ากับ 661.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157.36 ล้านบาท จาก 503.82 ล้านบาท ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน2564 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.23 โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน2564 และ 2565 เท่ากับร้อยละ 20.86 และร้อยละ 19.09 ตามลำดับ

2.3 รายได้อื่น
รายได้อื่นของบริษัทส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วย (1) รายได้เงินชดเชยบัตรภาษี จากการขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าส่งออกที่มีการผลิตภายในประเทศ และการขอคืนอากรสำหรับวัตถุดิบที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าของบริษัท โดยรายได้เงินชดเชยบัตรภาษีดังกล่าวแปรผันตามปริมาณการส่งออกสินค้า และ (2) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565 รายได้อื่นของบริษัท เท่ากับ 27.79 ล้านบาท และ 36.60 ล้านบาท ตามลำดับ


ค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายที่สำคัญของบริษัท ได้แก่ (1) ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ซึ่งประกอบไปด้วย ค่ารถหัวลากตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งขนส่งสินค้าจากบริษัทไปยังท่าเรือและค่าดำเนินพิธีการศุลกากรในการส่งออกสินค้าเป็นหลัก (2) ค่าตอบแทนพนักงาน ซึ่งประกอบไปด้วย เงินเดือน โบนัส และสวัสดิการ เป็นต้น (3) ค่านายหน้าซึ่งในอดีตที่
ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นค่านายหน้าจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก และ (4) ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย

สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่าย เท่ากับ 96.38ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.92 ล้านบาท จาก 83.46 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ15.48โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการส่งออกสินค้าที่เพิ่มมาก
ขึ้น ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย เนื่องจาก บริษัทมีการดำเนินกิจกรรมการตลาดและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของตนเอง ได้แก่ แบรนด์มองชู (monchou) และแบรนด์ฮาจิโกะ (Hajiko) เพิ่มมากขึ้นจากปี 2564


สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหาร เท่ากับ 159.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.85 ล้านบาท จาก 84.97 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 88.08 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน


สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 กำไรจากการดำเนินงานของบริษัท เท่ากับ 441.57 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 78.40 ล้านบาท จาก 363.17 ล้านบาท ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ21.59 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและการที่บริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารของบริษัทเพิ่มขึ้นรวม เท่ากับ 87.77 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ ร้อยละ 12.61 ลดลงเล็กน้อยจากอัตรากำไรจากการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2564 ซึ่งเท่ากับ ร้อยละ 14.86 อย่างไรก็ดี บริษัทมีค่าใช้จ่าภาษีเงินได้ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2565 เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เท่ากับ 11.05 ล้านบาท

ด้วยปัจจัยที่สำคัญดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ 363.60 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 55.54 ล้านบาท จาก 308.06 ล้านบาท ในงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.03 โดยอัตรากำไรสุทธิของบริษัทสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ ร้อยละ 10.39ลดลงเล็กน้อยจากอัตรากำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งเท่ากับ ร้อยละ 12.61

 



-----จบ-------

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้