สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(7มีนาคม 2565)-------BJC ตั้งเป้าปี 65 ยอดขายโต 2หลัก หวั่นยอดขายเดือนมี.ค.ชะลอตัว หลังราคาสินค้าเริ่มปรับขึ้น กระทบกำลังซื้อวางงบลงทุนปี 65 ราว 1.4-1.5 หมื่นลบ. กว่า70% ใช้ขยายสาขา Big C ในไทย-ลาว-กัมพูชา

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) BJC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าผลการดำเนินงานปี2565 คาดว่ายอดขาย จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าจะยังคงมีการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้มีมาตรการล็อกดาวน์ออกมาอย่างเช่นในปีที่ผ่านมา จึงทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศยังคงสามารถทำได้ปกติ

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าแนวโน้มของยอดขายในช่วงเดือนมี.ค. นี้จะชะลอตัวลงตาม ความกังวลของผู้บริโภคต่อการปรับขึ้นของราคาสินค้าต่างๆที่เริ่มขยับขึ้นหลังราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบในการผลิตต่างๆปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมาจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในขณะนี้

ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงมีการเดินหน้าขยายสาขาใหม่ แบ่งเป็น สาขา Big C รูปแบบ Hyper Market 2-3 สาขา ในประเทศไทย สาว และกัมพูชา Big C Food place จะขยายเพิ่มอีก 5 สาขา Big C mini ในปีนี้จะเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทยอีก 150-300 สาขา และในกัมพูชาอีก 50 สาขา และในส่วนของร้านขายยาและเวชภัณฑืทางการแพทย์ในปีนี้จะเปิดสาขาของร้าน Pure 7 สาขา และ SiriPharma จะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา จากที่ในปีที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 1 สาขาที่พรานนก โดยในสิ้นปี 65 จะมีสาขาของ Big C ทั้งสิ้น 1,713 สาขา จากปีก่อนที่ 1,572 สาขา

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนรวมในปี 2565 ไว้ที่ราว 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่กว่า 70% ของงบลงทุน บริษัทจะนำไปใช้สำหรับการขยายสาขาของ Big C เป็นหลัก พร้อมกับการลงทุนในการปรับพื้นที่จอดรถบางส่วนมารองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการทยอยปรับเปลี่ยนรถยนต์ในการบริการขนส่งสินค้าของ Big C มาเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวโน้มของโลก

โดยที่บริษัทฯ มองว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หลังจากราคาน้ำมันในปัจจุบันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเร่งให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าเร็วขึ้น และบริษัทฯ เองก็คำนึงถึงด้านต้นทุนการขนส่ง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะเป้นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเข้ามาช่วยบริษัทในการลดต้นทุนการขนส่งได้ค่อนข้างมาก

ด้านผลกระทบของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจจะมีผลต่อต้นทุนในการผลิตขวดแก้วของบริษัทฯ แต่บริษัทได้มีการส่งต่อราคาต้นทุนที่สูงขึ้นไปกับราคาขาขวดแก้วในตอนที่ทำสัญญากับลูกค้าไว้แล้ว ทำให้บริษัทยังสามารถขายขวดแก้วได้ในระดับราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และไม่กระทบต่อมาร์จิ้นของการผลิต ส่วนการผลิตสินค้าอุโภคและบริโภคอื่นส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะใช้พลังงานไฟฟ้าในการผลิตเป็นหลัก แต่ในเรื่องต้นทุนของการขนส่งบริษัทฯ ยังคงมีการเตรียมความพร้อมในด้านราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บล.ทิสโก้ แนะนำซื้อ BJC
มูลค่าเหมาะสม 40 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า BJC รายได้ฟื้นตัวดีแต่กำไรทรงตัวผู้บริหารคาดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ 2022 คาด SSSG เติบโตตัวเลขหลักเดียว/รายได้ค่าเช่าหลักเดียวปลายๆ ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์/พลังงานที่สูงขึ้นอาจกดดันธุรกิจ MSC/CSC แต่คาดว่าอัตรากำไรโดยรวมจะยังคงเดิม

มุมมองเชิงบวกด้านยอดขายโดยรวมและอัตรากำไรที่จำกัด แต่ถูกกดดันโดยราคาวัตถุดิบ และปรับประมาณการ โดยคาดรายได้ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยว เราปรับเพิ่มยอดขายเล็กน้อย +0.3% ในปี 2022F โดยรายได้ค่าเช่าเติบโต +19% (เทียบกับ 12.5%yoy ลดลงในปี 2021A) อย่างไรก็ตาม เราปรับลดมาร์จิ้นค้าปลีกเพื่อรวมแรงกดดันมาร์จิ้นใน CSC (ราคาสินค้าโภคภัณฑ์/ส่วนต่างกำไรต่ำ) และ MSC (ต้นทุนโลจิสติกจากราคาน้ำมัน) ยังคงมองในแง่ดีต่อการขยายอัตรากำไรขั้นต้นของ PSC เนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ และ economies of scale (โดยเฉพาะกระป๋องอลูมิเนียม) กำไรปี FY22-23E ของเราขยับขึ้นเล็กน้อย 1.8% และ 2.1% ตามลำดับ มูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 40 บาท

แนะนำ ซื้อ มูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 40 บาท (DCF)

แนวโน้มระยะสั้นมีการสนับสนุนจาก SSSg ที่พลิกบวก QTD ที่มีการเติบโต c5% รายได้ค่าเช่าอยู่ในช่วงฟื้นตัว และน่าจะดีขึ้นอย่างมากตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป

---จบ---