สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (21 มกราคม 2565)-----นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACEเปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและเพิ่มขีดความสามารถในการขยายธุรกิจ รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ตลอดจนก้าวเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย
โดยปัจจุบัน บริษัทฯ เน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้แบรนด์ “The Glamor” “Cordiz” และ “Cher” และเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุด 2 แบรนด์ ได้แก่ “Cherene” และ “CHEREA VICINITY” โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ คนกรุงเทพชั้นกลาง ชั้นนอก และปริมณฑลที่ต้องการบ้านแนวราบ เดินทางเข้าออกเมืองได้ง่าย
สำหรับการเติบโตในอนาคต บริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้รวมในปี 2566 เติบโต 2 เท่าตัว จากฐานรายได้ในปี 2564 และภายใน 5 ปี (ปี 2569) รายได้รวมจะเติบโตที่ระดับ 3 เท่าตัว จากฐานรายได้ปี 2564 ซึ่งการใช้ฐานรายได้ในปี 2564 ถือเป็นเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทในการการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นฐานรายได้ที่ยังเล็ก ยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมากในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ PEACE ในอนาคต ไม่ได้เน้นเพียงรายได้เท่านั้น ยังคงเน้นการเติบโตของกำไรควบคู่ไปด้วย โดยบริษัทมีนโยบายรักษาการเติบโตของกำไรให้เติบโตควบคู่ไปกับรายได้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 35-40%
ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทฯมีรายได้รวม 866.88 ล้านบาท เติบโต 101% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 133.71 ล้านบาท เติบโต 324% จากปีก่อน ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 809.57 ล้านบาท เติบโต 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 150.75 ล้านบาท เติบโต 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตมาจากการขยายการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
“ภาพรวมปี 2564 เราเชื่อว่าแนวโน้มผลการดำเนินงาน น่าจะเติบโตในระดับเดียวกับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกที่ได้มีการประกาศไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง และจะมี Backlog เติมเข้ามาอีกหลังจากทยอยส่งมอง Backlog ในมือไป” นายประสพศักดิ์ กล่าว